วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

39 ข้อคิดจิตวิทยาแห่งความสำเร็จ (โดยคุณบัณฑิต อึ้งรังษี)

มีคนเขียนสรุปไว้จาก...หนังสือชื่อว่า “ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้” ของอาจารย์บัณฑิต อึ้งรังษี คนไทยคนแรกที่ประสบความสำเร็จในเวทีวาทยากร (Conductor) ระดับโลก

1. ฝันให้ใหญ่…..ใหญ่สุดๆ Imagination is Power ถ้าเราตั้งเป้าไว้ว่าจะบินให้ไปถึงดวงดาว แต่แล้วเราไปถึงได้แค่ยอดเขา เราก็ยังถึงที่สูงกว่าที่เราเป็นอยู่ตอนนี้มากมายนัก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เคยกล่าวข้อความที่คนทั้งโลกรู้จักกันดีว่า “Imagination is more powerful than knowledge” หรือ “จินตนาการมีพลังกว่าความรู้” นั่นคือการใช้จินตนาการเป็นพลังสร้างฝันให้เป็นจริง

2. มนุษย์จะพัฒนาการไปตามอย่างที่ตนคิด As a Man Thinks,He is ทุกอย่างเริ่มที่ความคิดเท่านั้น ข่าวดีก็คือ….คุณสามารถเปลี่ยนอนาคตของคุณได้ โดยการเปลี่ยนความคิดของคุณ นับแต่นี้เป็นต้นไป

3. วิ่งหนึ่งไมล์ในสี่นาที 4-Minutes Mile ตัวคุณเองลอง”วิ่งหนึ่งไมล์ใน4นาที”บ้างสิครับ ด้วยเรื่องง่ายๆ เช่น ออกกำลังกายลดน้ำหนัก ทำอะไรที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้หรือเกี่ยงมานาน

4. ใช้หัวใจเลือกอนาคต Do What You Love, and the Money Will Follow “ทำสิ่งที่ตนรักแล้วเงินจะตามมาเอง”

5. เดินหน้าหาทาง Do What You Can, Where you can ส่วนที่ผมสนใจมากคือชีวประวัติของวาทยกรที่ยิ่งใหญ่ของโลกแต่ละคน

6. เรียนรู้อย่างรวดเร็วเพื่อเอาชนะ Super-Learning หาสิ่งที่เป็นผลงานของคนที่เก่งที่สุดในสาขาที่คุณสนใจมาศึกษาเลียนแบบ ปรมาจารย์ทำให้เรียนรู้ได้เร็วขึ้นไม่ต้องมาเสียเวลากับเรื่องที่คนทำได้กัน แล้วทำให้เรา “ต่อยอด” ได้เร็วขึ้น มีเวลาคิดค้นเทคนิคใหม่ๆที่ยังไม่เคยมีใครทำกัน

7. ฝ่าด่านอคติฝรั่ง Over-Prepare “ผลงานต้องดีกว่า” คือขึดที่ผมใช้ต่อสู้กับอคติ

8. เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตามตาม Profile Global, Act Local การทำงานร่วมกับคนจำนวนมากต้อง “เก่งงาน” เพื่อให้เขา “ยอมรับ” ต้อง “เก่งคน” เพื่อให้เขา “ยอมฟัง” ยอมทำตามกันเป็นทีม

9. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน Goal-Setting “เป้าหมายเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดอันหนึ่งของความสำเร็จ” คุณต้องตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน วัดได้ แต่อย่าปล่อยให้ล่องลอยอยู่ในอากาศให้เขียนลงไป มันจะทำหน้าที่เป็น “สาร” แห่งแรงบันดาลใจที่สร้างพลังและมักให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่คิดเสมอ

10. “วางแผน” เป็นเรื่องง่ายๆ Planning ไม่มีความรู้สึกอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการบรรลุเป้าหมาย เพราะนั้นจะเป็นความรู้สึกที่จะทำให้คุณมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น ข้อแตกต่างระหว่าง “ความฝันลมๆแล้งๆ” กับ “ความมุ่งมั่นฝันใฝ่ถึงความสำเร็จ” ก็คือ “การวางแผน” การวางแผนเป็นเรื่องง่ายๆ ระดับสามัญสำนึก(Common Sense) ถ้าตั้งเป้าหมายของคุณให้ชัดเจนและต้องการมันมากอย่างเพียงพอ การวางแผนก็จะเป็นธรรมชาติ

11. สู้ตาย…ตัดทางถอย Burn the Bridge Behind You ตราบใดที่เรายังไม่ตั้งปณิธานให้แน่วแน่ มัวแต่ประนีประนอมสร้าแผนสำรองและเปิดโอกาสให้ตนเองถอยได้ก็จะประสบความเร็จ ยิ่งใหญ่ไม่ได้เลย ถ้าคุณมุ่งมั่นตัดสินใจทำอะไรแล้วให้ “เผาสะพานทิ้ง” อย่าล้มเลิกกลางคัน

12. อ่าน อ่าน อ่าน What You Read, You are คุณต้องชั่งน้ำหนักระหว่างเรื่องที่ “น่าอ่าน” กับเรื่องที่ “ควรอ่าน” เพราะการอ่านก็คือการเพาะเมล็ดพันธุ์ทางความคิดเข้าไปในตัว ไม่มีอะไรคุ้มค่าไปกว่าการอ่านหนังสืออีกแล้วละครับ และที่สำคัญ…ไม่มีอะไรมาแทนการอ่านหนังสือได้ด้วย

13. ฝึกซ้อมในใจ Do Within When You are Without ไม่ว่าจะเป็นทักษะอะไรก็ตามการพูดในที่สาธารณะ นำเสนอแผนงานขายสินค้า เล่นเทนนิสคุณสามารถ”ฝึกในใจ” ได้ทั้งนั้น

14. ความรับผิดชอบ Responsibility จุดเริ่มต้นการคิดของคุณ ต้องเริ่มต้นด้วยการยอมรับผิดชอบว่าคุณมาถึงสถานการณ์ตอนนี้ที่คุณเป็นอยู่ ไม่ว่าดีหรือร้ายมันเกิดจากคุณทั้งสิ้น ถ้าคุณยอมรับว่าคุณคือคนที่กุมบังเหียนชีวิตของคุณเองคุณจะรู้ถึงศักยภาพที่ จะเปลี่ยนอนาคตของคุณเองได้และถ้าคุณจะเปลี่ยนอนาคตของคุณ สิ่งแรกที่คุณต้องเปลี่ยนก็คือความคิดของคุณเอง

15. คิดในทางบวก Think Positive ถ้าเราต้องการอะไรจากชีวิตเราก็ต้องคิดอย่างนั้น คิดตลอดเวลาถึงสิ่งที่เราต้องการ อย่าไปพูดถึงสิ่งที่ไม่ต้องการ”ผมกลัวโน่น ผมกลัวนี่ผมไม่อยากจน ผมไม่อยากป่วย อย่าให้ชีวิตคุณถูกครอบคลุมด้วยความกลัว แต่ให้ถูกผลักดันด้วยความฝัน

16. เส้นไม่ใหญ่ไม่เป็นไร Connection สายสัมพันธ์หมายถึงการยอมรับ ซึ่งมีที่มามากกว่าเรื่องความสามารถและผลงาน ถ้ามัวแต่เก่งแล้วไม่ไปเสริมสร้างสายสัมพันธ์ให้คนอื่นเขารักชอบ มักก็จบเพราะฉะนั้น ความสามารถกับการสายสัมพันธ์ต้องไปด้วยกัน

17. เพียง Resume ในกระดาษ ไม่ให้งานที่ดีกับใคร งานที่ดีมักจะมาจากการที่คนเรารู้จัก อาจจะเป็นเจ้านายหรือมีคนที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าและเห็นผลงานของเรา ดังนั้นประเด็นจึงมีอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้ผลงานของเราเป็นที่รู้จักนี่เป็น เรื่องของสายสัมพันธ์เครือข่ายความไว้เนื้อเชื่อ ใจในความสามารถจนเกิดการแนะนำบอกต่อกันมา ไม่ใช่เรื่องของกระดาษ “Resume” แผ่นเดียว

18. รอให้เรียนจบก็สายแล้ว Always Think Steps Ahead การเรียนทำให้คุณได้ความรู้ได้ทฤษฎีได้ใบปริญญา แต่ยังไม่ได้ “ผลงาน” การไปฝึกงานคือจุดเริ่มต้นที่จะทำให้คุณรู้จักคนในหน่วยงานนั้น จากนั้นต้องทำให้เขาเห็นผลงานของเรา ซึ่งต้องทำให้โดดเด่นขึ้นมาจากคนอื่น จนที่สุดเขาชอบเราและนึกถึงเราเป็นคนแรกเวลาที่ต้องการคน

19. ตามหาคนเก่งมาเป็นพี่เลี้ยง Learn From the Masters เมื่อคุณตัดสินใจแล้วว่าจะพัฒนาตนเองทางด้านไหน คุณจะต้องไปสืบเสาะเอาคนที่เก่งที่สุดในสาขานั้นมาเป็น “พี่เลี้ยง” คุณให้ได้ และที่สำคัญคือควรเก่งทางด้านปฏิบัติ ไม่ใช่ด้านทฤษฎีอย่างเดียว การรู้จักคนที่ถูกต้องทำให้เราประหยัดเวลาได้อีกเยอะ

20. ชื่อเสียงรักษาเท่าชีวิต Reputation ตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้ถ้าคุณจะมีชื่อเสียง จะให้คนพูดถึงคุณว่าอย่างไรว่าคุณเป็นคนซื่อสัตย์หรือคนโกงว่าคุณเป็นคนตรงเวลาหรืออู้งาน

21. “นอกวง”เลย”นอกกรอบ” Think Outside the Box อย่ายอมรับสิ่งที่คนอื่นบอกว่าเป็นข้อจำกัดของเรา “การคิดต่างกันทำให้อนาคตต่างกัน”

22. คิดใหญ่ทลายข้อจำกัด Accept No Limits หากข้อจำกัดนั้นเป็นความจริงที่วางอยู่ตรงหน้าคุณ วิธีการทลายก็คือคิดให้ใหญ่กว่า ซึ่งก็คือการคิดนอกกรอบในอีกรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรจำกัดตัวเราได้ ความเป็นไปได้มีหมด เพราะศักยภาพของมนุษย์นั้นมีสูงมาก เพราะฉะนั้น อย่าไปเชื่อข้อจำกัดที่คนอื่นบอกเรามา ข้อจำกัดไม่มีหรอก มีแต่ความคิดเรื่องข้อจำกัด

23. ขอคืบให้ศอก Go the Extra Mile ผลงานของคุณจะต้องเยี่ยมและดีพร้อมเสมอ แต่นอกเหนือจากนั้นต้องให้เกินความคาดหมายของผู้รับ อย่าเป็นคนที่ทำได้แค่เท่าที่สั่ง สิ่งนี้ยังเป็นการพัฒนาเราอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

24. เพิ่มคุณค่าให้ตนเองเสมอ Constant Improvement งานของผมไม่มีคำว่าอยู่เท่าเดิม ถ้าผมไม่โตหรือพัฒนาความก้าวหน้าอาชีพก็จะเหี่ยวเฉาและตายไปและความจริงนี้ ใช้ได้กับธุรกิจหลายประเภทที่มีการแข่งขันกัน

25. ภาษานั้นสำคัญไฉน Language Skills

26. พรสวรรค์เรื่องเล็ก ทำงานหนักเป็นเรื่องใหญ่ Talent Genius is 10% inspiration and 90% perspiration

27. อุปสรรคและความผิดหวัง Overcoming Obstacles ยิ่งฝันใหญ่เท่าไรก็ต้องเจออุปสรรคมากเท่านั้น สิ่งที่สำคัญคือวิธีคิด เมื่อต้องเจออุปสรรคและความผิดหวัง “อย่าให้มันหยุดเราได้” ถ้าอุปสรรคและปัญหาเป็นเรื่องที่แน่นอน สิ่งที่จะช่วยให้เราจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือการเตรียมการ ก่อนล่วงหน้า

28. วิธีเลือกคู่ครองให้ถูก พลังแห่งจิตใต้สำนึกน่าจะนำมาใช้ได้ในการหาคู่ครอง

29. ความถ่อมตัว Humility “อย่าคิดว่าเราเก่ง คนที่เคยทำได้เหมือนเราและดีกว่าเราก็มีมากในโลกนี้” คนยิ่งขึ้นสูงต้องยิ่งถ่อมตัว”

30. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น Don’t Compare เพราะเราเปลี่ยนอดีตไม่ได้แต่เราเปลี่ยนอนาคตได้ อย่ามัวเสียเวลาคิดถึงอดีตที่เปลี่ยนไม่ได้ คิดถึงอนาคตที่สดใสของคุณดีกว่า

31. กระสุนนัดเดียวต้องโดน Limites Bullets

32. คำปฏิเสธ….นั้นไซร้ธรรมดา Coping with Rejections ผมมีสองทางให้เลือก จะยอมแพ้หรือจะถามคนต่อไปที่อาจจะมีความต้องการ “ตรงกับเรา”

33. กินกบตั้งแต่เช้า Eat that frog ศัตรูตัวเล็กๆที่มีประสิทธิภาพสูงในการสกัดกั้นความสำเร็จคือนิสัยการผัดวัน ประกันพรุ่งเพื่อสร้างวินัย งานชิ้นแรกที่คุณควรทำในแต่ละวันคืองานที่คุณไม่อยากทำที่สุด งานที่ยากที่สุด

34. โชคชะตาไม่สำคัญ LUCK โชคเกิดขึ้นเมื่อการเตรียมพร้อมพบกับโอกาส

35. มีความสุขเดี๋ยวนิ้ Be Happy-Now! ถ้าคุณสังเกต ความสุขไมได้มาจากสิ่งภายนอก มันมาจากภายในขึ้นอยู่กับคุณเห็นค่ากับสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้วมากน้อยแค่ไหน

36. โลกนี้ไม่เคยต้องยุติธรรม The World is Never Fair การตอบรับสถานการณ์ที่เรามีหรือเป็นอยู่สำคัญกว่าสถานการณ์ที่ชีวิตให้มา เพราะฉะนั้น ทิศทางของชีวิตเราอยู่ในความควบคุมของเราเอง

37. อย่าล้มเลิก Never Give Up เหตุผลส่วนหนึ่งก็คือว่า บางครั้งความสำเร็จอาจจะอยู่แค่เอื้อม แต่เพราะความท้อแท้และเหนื่อยหน่ายทำให้เราล้มเลิกไปเสียก่อน ความสำเร็จอยู่หัวเลี้ยวสุดท้ายที่เอง

38. อย่างหวัดแต่พึ่งคนอื่น Your are Responsible คุณต้องรับผิดชอบอาชีพของคุณเอง

39. อธิษฐาน Prayer การอธิฐาน ขาดไม่ได้สำหรับการให้ได้สิ่งที่ต้องการ เมื่อคุณรู้สึกหมดหนทาง…..จงอธิษฐาน

คุณเป็นสาวสีอะไร ? (ผู้ชายก็อ่านได้นะคะ)

สาวสีแดง เกิดวันที่ 23 ธันวาคม - 1 มกราคม และ 25 มิถุนายน - 4 กรกฎาคม คุณเป็นผู้หญิงที่น่ารัก มักจะตกหลุมรักบ่อย ๆ และคุณก็ชอบที่จะเป็นอย่างนั้นซะด้วย คุณเป็นคนที่สดใสร่าเริง แต่ก็มีโวยวายบ้างในบางครั้ง งานที่คุณถนัด คือ งานที่เทคแคร์ผู้คน จงภูมิใจเถิดว่าคุณเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุขที่สุด สำหรับผู้ชายที่คุณชอบคือผู้ชายไม่เรื่องมาก และทำให้คุณสบายใจทุกครั้งที่อยู่กับเขา

สาวสีชมพู เกิดวันที่ 24 มกราคม - 3 กุมภาพันธ์ และ 26 กรกฎาคม - 4 สิงหาคม สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้นเป็นสิ่งที่คุณต้องการ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ต้องทำให้ดีที่สุด เป็นที่พึ่งของเพื่อน ๆ คุณไม่ใช่คนที่พอใจอะไรง่าย ๆ และออกจะมองโลกในแง่ลบสักหน่อย และคุณเฝ้ารอใครบางคน ที่จะทำชีวิตรักของคุณเหมือนเจ้าหญิงในเทพนิยาย

สาวสีส้ม เกิดวันที่ 2 - 11 มกราคม และ 5 - 14 กรกฎาคม คุณมีความรับผิดชอบ ต่องานและรู้วิธีการจัดการกับคนที่คุณทำงานด้วย คุณมักเป็นคนเอาจริงเอาจัง มีจุดมุ่งหมายในชีวิตและเป็นนักสู้ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ คุณออกจะเป็นผู้หญิงที่เชื่อคนยากสักหน่อย แต่เมื่อคุณเจอตัวจริง คุณจะเชื่อใจเขาตลอดไป
สาวสีเหลือง เกิดวันที่ 12 - 23 มกราคม และ 15 - 25 กรกฎาคม เจอแล้วสาวหวานตัวจริงแถมไร้เดียงสาอีกต่างหาก ไว้ใจคนง่าย และมักจะเป็นผู้นำในกลุ่มเพื่อน คุณมักจะตัดสินใจอะไรเองได้เสมอ และมักจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องด้วยสิ และที่สำคัญคุณใฝ่ฝันที่จะพบรักที่สุดแสนจะโรแมนติก

สาวสีฟ้า เกิดวันที่ 4 - 8 กุมภาพันธ์ และ 5 - 13 สิงหาคมและ 1 - 14 พฤษภาคม คุณไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองนัก อ่อนไหว และมีความเป็นศิลปินสูง และชอบที่จะรักคนอื่น เรียกได้ว่าเสพติดความรักที่เดียวแหละ มีบ่อย ๆ ที่คุณทำให้ความรักหลุดลอยไป เพราะคิดมักจะรักด้วยความรู้สึก

สาวสีน้ำตาล เกิดวันที่ 19 - 28 กุมภาพันธ์ และ 24 สิงหาคม - 2 กันยายน คุณนี่แหละเป็นผู้หญิง Hyper ของแท้ กระฉับกระเฉง และ Active ตลอดเวลา และคุณเป็นเพื่อนกับคนยาก แต่เป็นแฟนกับคนง่าย ไม่ ใช่ ใจง่าย แต่คุณชอบที่จะรักคนอื่นมากกว่า แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกผิดหวังกับอะไร คุณก็ยินดีจะหันหลังให้กับมันและยิ้มกับชีวิตตัวเองอย่างรวดเร็ว

สาวสีเขียว เกิดวันที่ 9 - 18 กุมภาพันธ์ และ 14 - 23 สิงหาคม คุณคือผู้หญิงที่ปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้ดี บางครั้งคุณเป็นคนเงียบขรึม แต่ก็พูดตรงจนบางทีทำร้ายความรู้สึกคนอื่นเพราะคำพูดของคุณ คุณชอบที่จะเป็นที่รัก ดังนั้น บ่อย ๆ ที่คุณจะคิดค้นวิธีน่ารัก ๆ เรียกร้องความสนใจจากคู่รักของคุณ แต่โดยส่วนใหญ่ คุณมักจะใช้ชีวิตโสด และคุณเป็นคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องเนื้อคู่เอามาก ๆ ถ้าคุณแต่งงานคุณจะใช้ชีวิตเรียบง่ายและรักเดียวใจเดียว

สาวสีน้ำทะเล เกิดวันที่ 1 - 10 มีนาคม และ 3 - 12 กันยายน สาวน้ำทะเลนี่แหละ สาวเจ้าอารมณ์ คุณจะเป็นคนอารมณ์แปรปรวน ทุก ๆ 3 นาที รักการท่องเที่ยวและเป็นคนขี้เหงาเอามาก ๆ คุณเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ก็เชื่อคนง่าย เป็นคนที่ค่อนข้างจะผิดหวังในเรื่องความรักเอามาก ๆ และมักเสียความรักไปอย่างง่าย ๆ

สาวสีเขียวมะนาว เกิดวันที่ 11 - 20 มีนาคม และ 13 - 22 กันยายน คุณคือภูเขาไฟย่อย ๆ เลยล่ะ เพราะเมื่อคุณเฉย คุณจะเป็นผู้หญิงเงียบ ๆ แต่ถ้าโมโหก็เอาไม่อยู่เหมือนกันออกจะขี้หึงนิด ๆ และขี้บ่นหน่อย ๆ คุณไม่ใช่คนที่ยึดติดกับอะไร แต่คุณมีบุคลิกพิเศษที่ทำให้ผู้คนมักจะเชื่อถือ คุณ และเป็นที่นิยมชมชอบเสมอ

สาวสีดำ เกิดวันที่ 21 มีนาคม คุณคือผู้หญิงที่ชอบความท้าทาย ชนิดน่าหวาดเสียวทีเดียว แต่ภายในใจลึก ๆ คุณไม่ค่อยชอบความเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ ถ้าคุณตัดสินใจดำเนินชีวิตอย่างไร คุณก็จะใช้ชีวิตอย่างนั้นเป็นเวลานานกว่าจะเปลี่ยน ชีวิตรักของคุณจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นและมีอะไรแปลก ๆ ประเภท Surprise อยู่เสมอ

สาวสีเขียวมะกอก เกิดวันที่ 23 กันยายน สาวแสนอบอุ่นตัวจริง แต่บางครั้งคุณก็เป็นคนใจอ่อนเกินไป มักจะโอนอ่อนผ่อนตามครอบครัวหรือเพื่อน ๆ เสมอ อย่างไรก็ตาม คุณเป็นผู้หญิงที่รู้จักตัวเอง รู้จักอะไรผิดอะไรถูก จิตใจดี ร่าเริง แจ่มใส และไม่ใช่คนขี้อิจฉาแน่นอน

สาวสีม่วง เกิดวันที่ 22 - 31 มีนาคม และ 24 กันยายน - 3 ตุลาคม คุณนี่แหละแม่สาวเจ้าอารมณ์ แต่เพราะความเจ้าอารมณ์นี่เองที่ทำให้คุณเป็นคนน่าค้นหา เสแสร้งไม่เป็น คุณมักจะเป็นสาวเจ้าเสน่ห์ประจำกลุ่ม แต่ก็มีบ่อย ๆ ที่คุณครองตำแหน่งสาวเอ๋อประจำกลุ่มด้วยเหมือนกัน เพราะคุณมักทำเปิ่น ๆ เสมอ ขี้ลืมในบางครั้ง ผู้ชายในฝันของคุณจะต้องเป็นคนที่ดูแล้วน่าเชื่อถือ

สาวสีเงิน เกิดวันที่ 11 - 20 เมษายน และ 14 - 23 ตุลาคม คุณนี่แหละสาวจินตนาการสูง ขี้อาย แต่ก็ชอบหาสิ่งแปลกใหม่ให้ชีวิต คุณชอบทำอะไรที่ท้าทายความสามารถ เป็นคนเรียนรู้เร็ว ชอบอะไรที่ได้มายาก ๆ ความรักของคุณมักจะมีเรื่องยาก ๆ ให้แก้ และสับสนตลอดเวลา

สาวสีเขียวทหาร เกิดวันที่ 1 - 10 เมษายน และ 4 - 13 ตุลาคม คุณคือผู้หญิงที่น่าสนใจและรักการใช้ชีวิตของตัวเอง อารมณ์อ่อนไหว และมักรู้สึกกับทุกสิ่งที่เข้ามากระทบรอบ ๆ ตัว ดังนั้น จึงเป็นเรื่องง่ายที่อะไรใกล้ ๆ ตัว มักทำลายสมาธิคุณเสมอ แต่คุณก็น่ากลัวใช่ย่อยเหมือนกัน เพราะเมื่อคุณโกรธใคร จะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คุณจะยกโทษให้เขาคนนั้น

สาวสีขาว เกิดวันที่ 21 - 30 เมษายน และ 24 ตุลาคม - 11 พฤศจิกายน คุณมีฝันและเป้าหมายแน่นอนให้ชีวิต บางครั้งคุณเป็นคนขี้อิจฉา และไม่ยอมทำอะไรซ้ำเดิม หรือเรียกว่าใจแข็งก็ว่าได้ คุณเป็นคนที่มีความแตกต่างในตัวเองสูง และมักตั้งความหวังไว้กับคนรอบข้างสูงเช่นกัน

สาวสีครีม เกิดวันที่ 25 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน และ 22 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม คุณมักจะเป็นผู้หญิงนักสู้ในหมู่เพื่อนๆ ชอบการแข่งขันการเอาชนะ มีความทะเยอทะยาน น่าเชื่อถือ ตกหลุมรักยากมาก เพราะคุณเป็นคนเชื่อเรื่องรักแท้

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เพลงพระราชนิพนธ์ "ใกล้รุ่ง"



พี่เป้ VieTrio Solo Violin เพลง ใกล้รุ่ง

ใกล้รุ่ง
ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
คำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ร่วมกับ ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร

ได้ยินเสียงแว่วดังแผ่วมาแต่ไกลไกล
ชุ่มชื่นฤทัยหวานใดจะปาน
ฟังเสียงบรรเลงขับเพลงประสาน
จากทิพย์วิมานประทานกล่อมใจ

ใกล้ยามเมื่อแสงทองส่อง
ฉันคอยมองจ้องฟ้าเรืองรำไร
ลมโบกโบยมาหนาวใจ
รอช้าเพียงไรตะวันจะมา

เพลิดเพลินฤทัยฟังไก่ประสานเสียงกัน
ดอกมะลิวัลย์อวลกลิ่นระคนมณฑา
โอ้ในยามนี้เพลินหนักหนาแสงทองนวลผ่องนภา
แสนเพลินอุราสำราญ

หมู่มวลวิหคบินผกมาแต่รังนอน
เฝ้าเชยชิดช้อนลิ้มชมบัวบาน
ยินเสียงบรรเลงดังเพลงขับขาน
สอดคล้องกังวานซาบซ่านจับใจ

เป็นเพลงสุดท้ายที่พระราชนิพนธ์ขณะที่ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระราชอนุชา

หลัง จากที่ทรงพระราชนิพนธ์เพลงในจังหวะบลูส์และวอลทซ์มาแล้ว ในเพลงนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงเปลี่ยนมาเป็นแจสที่ฟังสบายๆ และทรงเปลี่ยนมาใช้เพนตาโทนิค เมเจอร์ สเกล (Pentatonic Major Scale) ซึ่งค่อนข้างคุ้นหูคนไทย หากเปรียบกับเพลงไทยเดิมซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของดนตรีไทยสากลในยุคแรกๆแล้ว เพนตาโทนิค เมเจอร์ สเกล สามารถเทียบได้กับเพลงไทยสำเนียงลาว เพลงพระราชนิพนธ์ใกล้รุ่งใช้โน้ตในสเกลนี้อย่างแท้จริงโดยไม่มีสเกลอื่นมาปน เลย แต่ก็มีการใช้เสียงแบบครึ่งเสียงอยู่บ้างเล็กน้อย โดยไม่รู้สึกโดดหรือแปร่งแต่อย่างใด คอร์ดที่ใช้เป็นคอร์ดที่นิยมใช้ในดนตรีแจส เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วจะพบว่าเพลงพระราชนิพนธ์ใกล้รุ่งมีลักษณะเสียงเป็นแจ สแบบไทยๆ

ลักษณะพิเศษของเพลงพระราชนิพนธ์ใกล้รุ่งนี้จะพบว่า ทรงจัดวางทำนองโดยทรงเรียบเรียงล้อลักษณะของเพลงไทยเดิม โดยเฉพาะลูกขัดในทุกๆท่อน ซึ่งเมื่อคนไทยในเวลานั้นร้องคลอไปกับเพลงจะรู้สึกชินหูได้ง่าย เพลงพระราชนิพนธ์ใกล้รุ่งนี้ แสดงพระอัจฉริยภาพในการทรงนำลักษณะไทยผสานกับแนวทางตะวันตกได้ชัดเจนและลง ตัวมาก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ ศ.ดร. ประเสริฐ ณ นคร ประพันธ์เนื้อร้องภาษาไทย โดยมิได้ทรงกำหนดพระราชประสงค์ ซึ่ง ศ.ดร. ประเสริฐ ได้ให้สัมภาษณ์ว่าแรงบันดาลใจของเนื้อเพลงนี้มาจากเสียงไก่ขันที่ได้ยินจาก ข้างบ้าน ประกอบกับเพลงนี้จะนำออกบรรเลงในงานสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย ในเดือนมิถุนายน 2589

“พอดีตอนนั้นสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่ของ ประเทศไทยเขาจะมีงาน แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 กับสมเด็จพระอนุชาฯ จะเสด็จ ผมก็เลยแต่งให้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับไก่ บ้านที่อยู่นั้น คุณหลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ ท่านก็ต้องการจะส่งเสริมการเลี้ยงไก่ เพื่อให้ไก่ที่อยู่ในกรงสามารถไข่ได้มาก แล้วก็ให้อาหารเต็มที่ ตื่นเช้ามาไก่ขันเต็มไปหมดเลย ก็ได้แรงบันดาลใจจากอันนั้น”

ศ.ดร. ประเสริฐเล่าว่าได้ใช้เวลาแต่งเนื้อร้องเพียง 1 ชั่วโมง แต่ด้วยความไม่ชำนาญในโน้ตสากลจึงแต่งในลักษณะ

“จบ เพลงวรรคหนึ่งก็ประพันธ์เนื้อไปวรรคหนึ่ง พอจบตอนที่สามไม่ทราบว่าที่มีจุด 2 จุดข้างท้ายโน้ตเพลงหมายความว่าให้บรรเลงย้อนต้น และต้องแต่งท่อนที่ 4 เพิ่มเติมอีก จึงลงท้ายเพลงว่า โอ้ในยามนี้เพลินหนักหนา แสงทองนวลผ่องนภา แสนเพลินอุราเหลือลืม เมื่อจบท่อนที่ 3 ต่อมาเมื่อพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ อธิบายให้ทราบว่าจะต้องแต่งท่อนที่ 4 เพิ่มเติมอีก จึงได้เพิ่ม หมู่มวลวิหคบินผกมาแต่รังนอน เฝ้าเชยชิดช้อนลิ้มชมบัวบาน ส่วนตอนที่ว่า ฟังเสียงบรรเลง ดังเพลงขับขาน สอดคล้องกังวาน ซาบซ่านจับใจ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ทรงกรุณาเพิ่มเติมให้”

เนื้อ ร้องภาษาไทยของเพลงพระราชนิพนธ์ใกล้รุ่งพรรณนาถึงความงามของธรรมชาติยามรุ่ง อรุณ ทำให้รู้สึกถึงความสดชื่น รื่นรมย์ และความหวังในวันใหม่ ส่วนเนื้อร้องภาษาอังกฤษที่ท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา เป็นผู้ประพันธ์โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ทรงช่วยแก้ไขให้ เนื้อหาในคำร้องภาษาอังกฤษใกล้เคียงกับภาษาไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำออกบรรเลงครั้งแรกโดยวงสุนทราภรณ์ในงานสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่ง ประเทศไทย เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2489

Near Dawn
Music: H.M.K. Bhumibol Adulyadej
Lyric: Prof. Thanpuying Nopakhun Thongyai Na Ayudhya

How calm the world
All nature slumbers still.
Grey is the sky, no breezes blow.
O’er roof and hill,
The moon now low
Sends gentle light
To guard below.

Cocks waking call ‘cross the field
Grey shadows flee;
Stars disappear.
But, here I lie sleepless, dear.
Bats flutter home.
The dawn is near.

Gold streaks the east.
Its glow, the roofs reflect,
Dark leaves turn green
And Flow’rs with light, are deck’d.
Now birds and babes wake to play.
The world expectant waits.
To greet a bright, new day.

Dew fresh and cool
The town awakes from sleep
Its throb I hear : car, speeding, hum.
Of love and hope, the birds sing, dear
Come, rise, don’t mope,
The dawn is near.



ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ "เช้านี้ที่ไกลกังวล"

ออง ซาน ซูจี


ออง ซาน ซูจี เป็นนักการเมืองฝ่ายค้านในประเทศพม่า เกิดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2488 บิดาคือ นายพลออง ซาน ผู้นำการเรียกร้องเอกราชของพม่า ซึ่งถูกสังหารเสียชีวิตเมื่อเธอมีอายุเพียง 2 ขวบ ซูจีได้สมรสกับ ศาสตราจารย์ ดร.ไมเคิล อริส อาจารย์สอนวิชาทิเบตศึกษา ที่สถาบันตะวันออก มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด สหราชอาณาจักร มีบุตรชายสองคน คือ อเล็กซานเดอร์ และคิม ปัจจุบัน ศาสตราจารย์ ดร.ไมเคิล อริสได้เสียชีวิตแล้วด้วยโรคมะเร็งในปี พ.ศ. 2542 โดยรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของพม่า ได้กำหนดไว้ว่าชาวพม่าที่สมรสกับคนต่างชาติ จะไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง ออง ซาน ซูจี จึงหมดสิทธิ์ลงสมัคร

ออง ซาน ซูจีถูกสั่งกักบริเวณในบ้านพักตั้งแต่ พ.ศ. 2533 จนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ชีวิตช่วงแรก
ออง ซาน ซูจี เกิดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2488 ณ ย่างกุ้ง พม่าของอังกฤษ (British Burma) บิดาของเธอ นายพลอองซาน ที่ชาวพม่ายกย่องว่าเป็น “วีรบุรุษเพื่ออิสรภาพของประเทศพม่า” ถูกลอบสังหารเมื่อ วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 เมื่อเธอได้อายุได้ 2 ปี บทบาทของนายพลอองซานในการนำการต่อสู้กับญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักรที่เข้ามายึดครองพม่า ทำให้สหภาพพม่าได้รับอิสรภาพเป็นรัฐเอกราชเมื่อ วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2491



ดอว์ขิ่นจี ผู้เป็นภรรยาของนายพลอองซาน ต้องรับภาระเลี้ยงดูบุตรชายหญิง 3 คนโดยลำพังหลังจากสามีถูกลอบสังหาร ซูจีเป็นลูกคนเล็ก และเป็นบุตรสาวคนเดียวของครอบครัว ภายหลังบิดาเสียชีวิตไม่นาน พี่ชายคนรองของเธอประสบอุบัติเหตุ จมน้ำตายในบริเวณบ้านพัก ซูจีและพี่ชายคนโตคือ อองซาน อู เติบโตมากับการเลี้ยงดูของมารดา ที่เข้มแข็ง และความเอื้อเอ็นดูของกัลยาณมิตรร่วมอุดมการณ์ของบิดา

พ.ศ. 2503 ดอว์ขิ่นจี ได้รับการแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งทูตพม่า ประจำประเทศอินเดีย ซูจีถูกส่งเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมและวิทยาลัยสตรีศรีราม ที่นิวเดลี จากนั้นไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ การเมือง และปรัชญาที่เซนต์ฮิวส์คอลเลจ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ระหว่างปี พ.ศ. 2507-2510 ช่วงที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซูจีได้พบรักกับ ไมเคิล อริส นักศึกษาสาขาวิชาอารยธรรมทิเบต

ปีเดียวกันกับที่ซูจีจบการศึกษา ดอว์ขิ่นจี หมดวาระในตำแหน่งทูตประจำประเทศอินเดีย และย้ายกลับไปพำนัก ที่ย่างกุ้ง ซูจี แยกจากมารดาเพื่อเดินทางไปมหานครนิวยอร์ก เข้าทำงานเป็นผู้ช่วยเลขานุการ ให้ คณะกรรมการที่ปรึกษา ด้านการตั้งคำถามเกี่ยวกับงบประมาณ และการจัดการของสำนักงานเลขาธิการ องค์การสหประชาชาติ ขณะนั้น อูถั่น ซึ่งเป็นชาวพม่า ดำรงตำแหน่งเลขาธิการของ องค์การสหประชาชาติ ในการทำงาน 3 ปีที่นี่ซูจีใช้เวลาช่วงเย็น และวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นอาสาสมัครให้โรงพยาบาล ในโครงการช่วยอ่านหนังสือ และดูแลปลอบใจผู้ป่วยยากจน

เดือนมกราคม พ.ศ. 2515 ซูจีแต่งงานกับ ไมเคิล อริส และย้ายไปอยู่กับสามี ที่ราชอาณาจักรภูฏาน ซูจีได้งาน เป็นนักวิจัยในกระทรวงต่างประเทศของรัฐบาลภูฏาน ขณะที่ไมเคิลมีตำแหน่งเป็นหัวหน้า กรมการแปล รวมทั้งมีหน้าที่ถวายการสอน แก่สมาชิกราชวงศ์แห่งภูฏาน ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2516-2520 ทั้งสองย้ายกลับมาที่กรุงลอนดอน ไมเคิลได้งานสอน วิชาหิมาลัย และทิเบตศึกษาที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซูจีให้กำเนิดบุตรชายคนแรก อเล็กซานเดอร์ ในปี พ.ศ. 2516 และบุตรชายคนเล็ก คิม ในปี พ.ศ. 2520 นอกจากใช้เวลากับการเลี้ยงดูบุตรชายทั้งสองแล้ว ซูจีเริ่มทำงานเขียน และงานวิจัยเกี่ยวกับชีวประวัติของบิดาและยังช่วยงานหิมาลัยศึกษาของ ไมเคิลด้วย

พ.ศ. 2528-2529 ซูจี และไมเคิลตัดสินใจแยกจากกัน ระยะหนึ่ง[ต้องการอ้างอิง] เพื่อแสวงหาความก้าวหน้าทางวิชาการ ซูจีได้รับทุนทำวิจัยจาก ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ในการทำวิจัย เกี่ยวกับบทบาทของนายพลอองซาน ขณะที่ไมเคิลได้รับทุนจาก Indian Institute of Advanced Studies ที่ซิมลา (Simla) ทางภาคตะวันออกของอินเดีย ซูจีพาคิม บุตรชายคนเล็กไปญี่ปุ่นด้วย ส่วนไมเคิลได้พาอเล็กซานเดอร์ บุตรชายคนโตไปอยู่ด้วยที่อินเดีย ปีต่อมาซูจีได้รับทุนจาก Indian Institute of Advanced Studies จึงพาคิมมาสมทบที่ซิมลา ประเทศอินเดีย ต่อมาซูจีที่อยู่ที่ญี่ปุ่นต้องบินไปดูแลมารดาที่เดินทางมารับการผ่าตัดต้อกระจกตา ที่ลอนดอน

พ.ศ. 2530 ซูจีและไมเคิลย้ายครอบครัวกลับมาอยู่ที่ออกซฟอร์ด ซูจีเข้าศึกษาต่อที่ London School of Oriental and African Studies ที่กรุงลอนดอน เธอกำลังทำวิทยานิพนธ์ ปริญญาเอกเกี่ยวกับวรรณคดีพม่า

กลับบ้านเกิดเพื่อสานอุดมการณ์และความฝันของบิดา
ปลายเดือน มีนาคม พ.ศ. 2531 อองซาน ซูจี ในวัย 43 ปี เดินทางกลับบ้าน เกิดที่ย่างกุ้ง เพื่อมาพยาบาล ดอว์ขิ่นจี มารดาที่กำลังป่วยหนัก ในขณะนั้นเป็นช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และมีความวุ่นวายทางการเมืองในพม่ากดดันให้นายพลเนวินต้องลาออกจากตำแหน่ง ประธานพรรคโครงการสังคมนิยมพม่า (The Burma Socialist Programme Party-BSPP) ที่ยึดอำนาจการปกครอง ประเทศพม่ามานานถึง 26 ปี เธอเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ตอนที่ดิฉันเดินทางกลับมาพม่าเมื่อ พ.ศ. 2531 เพื่อมาพยาบาลคุณแม่นั้น ดิฉันวางแผนไว้ว่าจะมาริเริ่ม ทำโครงการเครือข่ายห้องสมุดในนามของคุณพ่อด้วย เรื่องการเมืองไม่ได้อยู่ในความสนใจของดิฉันเลย แต่ประชาชนในประเทศของดิฉันกำลังเรียกร้อง ประชาธิปไตย และในฐานะลูกสาวของพ่อ (นายพลอองซาน) ดิฉันรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ดิฉัน ต้องเข้าร่วมด้วย”

ประชาชนไม่พอใจต่อระบอบเนวิน โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ นั้นสะสมต่อเนื่อง และรุนแรงมากขึ้นเมื่อมีการประกาศยกเลิกการใช้ธนบัตรมูลค่า 25 จัต 35 จัต และ 75 จัต โดยไม่ยอมให้มีการแลกคืน ในเดือน กันยายน พ.ศ. 2530 ซึ่งทำให้เงินร้อยละ 75 หายไปจากตลาดเงิน นักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้งประท้วงด้วยการทำลายร้านค้าหลายแห่ง จนมีเหตุการณ์รุนแรงครั้งสำคัญปะทุขึ้นเป็นครั้งแรกในเดือน มีนาคม พ.ศ. 2531 หลังเกิดเหตุทะเลาะ วิวาทระหว่างนักศึกษาในร้านน้ำชา และตำรวจจับกุมผู้ก่อเหตุ กลุ่มนักศึกษาได้รวมตัวกันประท้วง ให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา แต่ตำรวจกลับใช้ความรุนแรง ตอบโต้ด้วยการยิงใส่กลุ่มผู้ประท้วง ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งยังจับกุม นักศึกษานับพันคนไปจากการชุมนุม ก่อให้เกิดความไม่พอใจ ในหมู่นักศึกษาประชาชน และขยายไปทั่วประเทศ มีการประท้วงในพื้นที่ต่างๆ จำนวนมาก จนเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่กดดันให้นายพลเนวินต้องประกาศลาออก

การลาออกของนายพลเนวินใน วันที่ 23 กรกฎาคม ตามมาด้วยการชุมนุม เรียกร้องประชาธิปไตย ของนักศึกษา และประชาชนหลายแสนคนในเมืองหลวงย่างกุ้ง และแผ่ขยายไปทั่วประเทศ ในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ประชาชนนับล้านรวมตัวกันในเมืองร่างกุ้ง อันเป็นเมืองหลวงของประเทศพม่า เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย การประท้วงแผ่ขยายไปทั่วประเทศ ผู้นำทหารได้สั่งการให้ใช้กำลังอาวุธสลายการชุมนุม ทำให้ผู้ร่วมชุมนุมหลายพันคนเสียชีวิต

ออง ซาน ซูจี เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2531 โดยส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาล เรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อเตรียมการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 26 สิงหาคม ออง ซาน ซูจี ในขึ้นกล่าวปราศรัยเป็นครั้งแรก ต่อหน้าฝูงชนประมาณ 500,000 คน ที่มาชุมนุมกันที่เจดีย์ชเวดากอง ในย่างกุ้ง ซูจีเรียกร้องให้มีรัฐบาลประชาธิปไตย แต่ผู้นำทหารกลับจัดตั้งสภาฟื้นฟูกฎระเบียบแห่งรัฐ (The State Law and Order Restoration Council : SLORC) ขึ้นแทน และได้ทำการปราบปรามสังหาร และจับกุมผู้ต่อต้านอีกหลายร้อยคนวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2531 ออง ซาน ซูจี ได้ร่วมจัดตั้งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยขึ้น (National League for Democracy: NLD) และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคชีวิตทางการเมืองของนางออง ซาน ซูจี เริ่มต้น นับแต่นั้น

มารดาของซูจี ดอว์ขิ่นจี ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2531 แต่ภารกิจต่อแผ่นดิน เกิดเรียกร้องให้ซูจีเลือกที่จะต่อสู้กับระบอบเผด็จการทหารอยู่บนแผ่นดินเหนือลุ่มน้ำอิรวดี-สาละวิน

เกียรติยศ และการจองจำ
รัฐบาลเผด็จการใช้อำนาจเผด็จการภายใต้กฎอัยการศึก สั่งกักบริเวณซูจีให้อยู่แต่ในบ้านพักเป็น ครั้งแรก เวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 ซึ่งต่อมาขยายเป็น 6 ปีโดยไม่มีข้อหา และได้จับกุม สมาชิกพรรคจำนวนมากไปคุมขังไว้ที่ คุกอินเส่ง ซูจีอดอาหารเพื่อประท้วง และเรียกร้องให้นำเธอไปขังรวมกับสมาชิกพรรคคนอื่นๆ เวลานั้นอเล็กซานเดอร์ และคิมอยู่กับมารดาด้วย ไมเคิลจากอังกฤษมาที่ย่างกุ้ง เพื่อเป็นกำลังใจให้ภรรยา ซูจียุติการอดอาหารประท้วงเมื่อรัฐบาลเผด็จการทหารให้สัญญาว่า จะปฏิบัติอย่างดีต่อสมาชิกพรรคเอ็นแอลดี ที่ถูกคุมขังไว้ที่คุกอินเส่ง

27 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 แม้ว่าซูจียังคงถูกกักบริเวณอยู่ แต่พรรคเอ็นแอลดี ของเธอได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งทั่วไป รัฐบาลเผด็จการทหารในนามของ “สภาฟื้นฟูกฎหมายและระเบียบแห่งรัฐ” ปฏิเสธที่จะถ่ายโอนอำนาจให้แก่ผู้ชนะ แต่ยื่นข้อเสนอ ให้ซูจียุติบทบาททางการเมือง ด้วยการเดินทางออกนอกประเทศ ไปใช้ชีวิตครอบครัวกับสามีและบุตร แต่ซูจีปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว รัฐบาลทหารจึงมีคำสั่งยืดเวลาการกักบริเวณเธอจาก 3 ปี เป็น 5 ปี และเพิ่มอีก 1 ปีในเวลาต่อมา

วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2534 คณะกรรมการโนเบลแห่งประเทศนอร์เวย์ ประกาศชื่อ นางอองซาน ซูจี เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขา สันติภาพ ซูจีไม่มีโอกาสเดินทาง ไปรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ด้วยตัวเอง เดือนธันวาคม อเล็กซานเดอร์ และคิมบินไปรับรางวัล แทนมารดาที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ สองพี่น้องเดิน ถือภาพถ่ายของมารดา ขึ้นเวทีท่าม กลางเสียงปรบมือต้อนรับอย่างกึกก้อง อเล็กซานเดอร์กล่าว กับคณะกรรมการและผู้มาร่วมในพิธีว่า “ผมรู้ว่าถ้าแม่มีอิสรภาพและอยู่ที่นี่ในวันนี้ แม่จะขอบคุณพวกคุณพร้อมกับขอร้อง ให้พวกคุณร่วมกันสวดมนต์ ให้ทั้งผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่โยนอาวุธทิ้ง และหันมาร่วมกันสร้างชาติด้วยความเมตตากรุณาและจิตวิญญาณแห่งสันติ”

ซูจีประกาศใช้เงินรางวัลจำนวน 1.3 ล้านเหรียญ จัดตั้งกองทุนเพื่อสุขภาพและการศึกษา ของประชาชนพม่า ต่อมา เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ซูจีได้รับอิสรภาพจากการถูกกักบริเวณครั้งแรก

การเคลื่อนไหว
การปล่อยตัวจากการบริเวณนี้ ซูจี ยังคงถูกติดตาม ความเคลื่อนไหว และไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างอิสระ เธอถูกห้าม ไม่ให้ปราศรัยต่อหน้าฝูงชนที่มาชุมนุมอยู่หน้าบ้านของเธอเอง และเมื่อเธอพยายามเดินทางออกจากบ้านพัก เพื่อไปพบปะฝูงชน เจ้าหน้าที่รัฐจะติดตามไปทุกแห่งหน พร้อมกับฝูงชนจัดตั้งจำนวนหนึ่ง ที่พยายามทำร้ายเธอ และเพื่อนร่วมคณะ ซึ่งครั้งหนึ่งฝูงชนจัดตั้งดังกล่าวได้ใช้ก้อนหิน และวัตถุอันตรายอื่นๆ กว้างปาเข้าใส่รถของเธอจนเสียหาย ทั้ง ๆ ที่อยู่ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ซูจี ดำเนินการต่อสู้ด้วยแนวทางสันติวิธี ด้วยการใช้วิธีเขียนจดหมาย เขียนหนังสือ บันทึกวีดีโอเทป เพื่อส่งผ่านข้อเรียกร้องของเธอ ต่อรัฐบาลทหารพม่า ออกมาสู่ประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง ตราบเท่าที่สามารถทำได้ เดือน กรกฎาคม 2541 ซูจี นั่งประท้วงอยู่ในรถยนต์ ของเธอเองเป็นเวลาห้าวัน หลังจากถูกตำรวจ สกัดไม่ให้รถยนต์ของเธอเดินทางออกจากย่างกุ้งเพื่อไปพบปะกับสมาชิกพรรค สันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย เดือนสิงหาคม 2541 ซูจี ถูกสกัด ไม่ให้เดินทางไปพบปะสมาชิกพรรคของเธออีกครั้งหนึ่ง ซูจี ใช้ความสงบ เผชิญหน้า กับเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเวลาถึงหกวัน จนเสบียงอาหารที่เตรียมไปหมด เธอถูกบังคับพาตัวกลับ ที่พักหลังจากนั้น

วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2543 ซูจี และสมาชิกพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย จะเดินทางเพื่อไปดำเนินกิจกรรมทางการเมือง แต่ถูกตำรวจสกัดไม่ให้เดินทางออกพ้นชานกรุงย่างกุ้งซูจี ยืนยันที่จะดำเนินการตามเจตนารมณ์ โดยใช้วิธีเผชิญหน้าอย่างสงบกับตำรวจอยู่ ณ จุดที่ถูกสกัดเป็นเวลาถึง 9 วัน จนถึงวันที่ 2 กันยายน ตำรวจปราบจลาจลร่วม 200 นาย พร้อมอาวุธครบมือ บังคับนำเธอกลับเข้าเมือง

สองสัปดาห์ต่อมา ซูจี พร้อมคณะ ผู้นำพรรคฝ่ายค้านเดินทางไปที่สถานีรถไฟ เพื่อซื้อตั๋วโดยสารทางออกจากเมืองร่างกุ้ง แต่รัฐบาลเผด็จการทหารได้ส่งหน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษ ไปควบคุมตัวเธอกลับบ้านพัก พร้อมทั้งวางกำลัง เจ้าหน้าที่ควบคุมจุดต่าง ๆ บนถนนหน้าบ้านพักของนางซูจี ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าพบปะ เยี่ยมเยียนเธอ

ซูจี ถูกกักบริเวณโดยปราศจากข้อกล่าวหาและความผิดอีกเป็น ครั้งที่สอง เป็นเวลา 18 เดือน ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2543 และได้รับอิสรภาพ จากการกักบริเวณครั้งนี้เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2545 โดยในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2544 ขณะที่ผู้รักสันติภาพทั่วโลกร่วมกันเฉลิมฉลองวาระครบรอบหนึ่งร้อยปี ของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ พร้อมกับฉลองวาระครบสิบปีที่ซูจี ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ นางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ยังคงถูกจำกัดอิสรภาพอยู่ในประเทศพม่า ไม่มีโอกาสเดินทางไปร่วมพิธีเฉลิมฉลองรางวัลเกียรติยศแห่งชีวิตพร้อมกับผู้ ได้รับรางวัลคนอื่น ๆ

เกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างมวลชนจัดตั้ง ของรัฐบาลกับกลุ่มผู้สนับสนุน ซูจีเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ระหว่างที่นางซูจีเดินทางเพื่อพบปะกับประชาชน ในเมืองเดพายิน (Depayin) ทางตอนเหนือของพม่า ทำให้ซูจีถูกสั่งกักบริเวณให้ใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านพักอีกเป็น ครั้งที่ 3 ตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2546

การประท้วงต่อต้านรัฐบาลในพม่า พ.ศ. 2550
การประท้วงที่นำโดยคณะพระภิกษุสงฆ์ แม่ชี นักศึกษาและประชาชน ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2550 จากการไม่พอใจของประชาชนต่อการประกาศขึ้นราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเกือบเท่าตัว และขึ้นราคาก๊าซหุงต้มถึง 5 เท่าอย่างฉับพลันโดยมิได้ประกาศแจ้งบอกของรัฐบาลทหารพม่า การประท้วงเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยมา จนถึงวันที่ 5 กันยายน มีการชุมนุมประท้วงที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองพะโคกกุ ทางตอนกลางของประเทศ เจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุม และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก รวมทั้งพระสงฆ์จำนวน 3 รูป

คณะพระภิกษุ ซึ่งเป็นสถาบันที่ได้รับความเคารพอย่างสูงจากชาวพม่า ประกาศ "ปฐม นิคหกรรม" ไม่รับบิณฑบาตจากผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทหารพม่า ทหาร และครอบครัว และเรียกร้องให้ทางการพม่า ขอโทษองค์กรสงฆ์อย่างเป็นทางการภายในวันที่ 17 กันยายน แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง ภิกษุสงฆ์จึงเริ่มเข้าร่วมการประท้วงด้วย ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน เมื่อรวมผู้ประท้วงแล้วมากกว่า 1 แสนคน การประท้วงต่อต้านรัฐบาลเผด็จการครั้งนี้จึงนับว่าเป็นการประท้วงต่อต้าน ครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่การประท้วงเมื่อปี พ.ศ. 2531 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 3,000 คน ในการใช้กำลังทหารเข้าสลายการประท้วง

เมื่อวันเสาร์ที่ 22 กันยายน คณะสงฆ์และประชาชนได้เดินทางไปยังบ้านพักนางออง ซาน ซูจี ผู้นำประชาธิปไตยในพม่า ซึ่งนางอองซานได้ออกมาปรากฏตัวเป็นเวลา 15 นาที โดยการเปิดประตูเล็กของประตูบ้าน พร้อมกับพนมมือไหว้พระสงฆ์ที่กำลังให้พร การปรากฏตัวครั้งนี้นับเป็นการปรากฏตั้วต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2546

การละเมิดกฎหมาย พ.ศ. 2552
วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 นายจอห์น ยัตทอว์ ชาวอเมริกัน ได้ว่ายน้ำข้ามทะเลสาบไปยังบ้านพักที่ อองซานซูจี ถูกกักบริเวณอยู่ เขาอาศัยอยู่กับ ซูจี เป็นเวลาสองคืน ก่อนจะว่ายน้ำกลับมายังอีกฝั่งและถูกทหารพม่าจับกุมตัวในที่สุด วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 อองซานซูจี ถูกจับกุมตัวและนำไปคุมขังในเรือนจำอินเส่ง ในข้อหาละเมิดคำสั่งกักบริเวณของรัฐบาลทหารพม่าวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ศาลพม่าอ่านคำพิพากษาว่า อองซานซูจี มีความผิดข้อหาละเมิดกฎหมายความมั่นคงภายในประเทศมีโทษจำคุก 3 ปี แต่รัฐบาลทหารพม่าให้ลดโทษลงครึ่งหนึ่งเหลือเพียง 18 เดือน และไม่ต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำอินเส่ง แต่ให้กลับไปถูกควบคุมตัวในบ้านพักเช่นเดิม

จากโทษครั้งนี้ทำให้ ซูจี อาจไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกตั้งทั่วไปของพม่าที่คาดว่าจะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 ด้านนายจอห์น ยัตทอว์ ถูกศาลสั่งจำคุกและใช้แรงงานเป็นเวลา 7 ปี ตามความผิด 3 ข้อหา ซึ่งประกอบด้วยความผิดข้อหาละเมิดความมั่นคง 3 ปี เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย 3 ปี และว่ายน้ำอย่างผิดกฎหมายในที่ห้ามว่ายเป็นเวลา 1 ปี ในวันที่ 15 สิงหาคม นางออง ซาน ซูจี ได้เดินทางไปที่เรือนรับรองของรัฐบาลพม่าในเมืองย่างกุ้ง เพื่อพบหารือกับวุฒิสมาชิกจิม เวบบ์ ประธานคณะอนุกรรมการวิเทศสัมพันธ์กิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกของวุฒิสภา สหรัฐ ซึ่งเดินทางมาเยือนพม่าเป็นเวลา 3 วัน ทั้งนี้ ขบวนรถยนต์ประกอบด้วย รถตำรวจหลายคันและรถของนางซูจี ได้นำเธอออกจากบ้านพักริมทะเลสาบกรุงย่างกุ้ง เพื่อมาพบกับ ส.ว.จิม เวบบ์ ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นการหารือเมื่อช่วงเช้ากับพลเอกอาวุโส ตาน ฉ่วย ผู้นำรัฐบาลทหารพม่าที่กรุงเนปิดอ

ปล่อยตัว
ในวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เธอได้รับการปล่อยตัวจากรัฐบาลทหารพม่า

การศึกษา
พ.ศ. 2510 ปริญญาสาขาวิชาปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์, มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด สหราชอาณาจักร

ประวัติการทำงานและผลงาน
สำนักงานเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก
เจ้าหน้าที่วิจัยกระทรวงการต่างประเทศ ประเทศภูฏาน
รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ พ.ศ. 2534 จากการต่อสู้โดยสันติวิธีในการเรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กาแฟทายนิสัย

ต่อด้วยกาแฟอีกสักบทความนะคะ รู้สึกตอนนี้คนเขียนจะหลงเสน่ห์กาแฟซะเหลือเกิน อิอิ คราวนี้เรามาทายนิสัยด้วยรสชาติของกาแฟที่ชอบ ด้วยกันนะคะ

ชอบกาแฟขม ๆ
คน ที่ชอบกาแฟรสเข้มจัดนั้นมักจะเป็นคนเอาการเอางาน ช่างคิด ช่างวางแผน มีหัวทางธุรกิจ และชอบการทำงานที่ท้าทาย แต่ก็มักเป็นคนที่มีความเครียดเสมอ ๆ เพราะเฝ้าครุ่นคิดแต่หนทางที่จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตัวเองหวัง ชอบ

กาแฟรสชาติหวานมัน
คน ที่ชอบกาแฟรสชาติเข้มข้น ทั้งหวานและมันถึงใจแสดงว่าเป็นคนที่เปิดเผย ใจกว้าง ชอบความสนุกสนานในชีวิต เป็นคนร่าเริง ช่างกระเซ้าเย้าแหย่ นอกจากนั้น ยังเป็นคนรักความยุติธรรม ไม่ชอบการเอารัดเอาเปรียบ และจะรักษาสิทธิของตัวเองเสมอ

ชอบกาแฟที่กลิ่นหอมแรง
ส่วน คนที่ชอบการแฟที่มีกลิ่นหอมแรง ๆ เข้มข้น แสดงว่าเป็นคนที่ช่างเลือก ชอบแต่สิ่งที่ดีที่สุด มักพิถีพิถันต่อข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว เป็นคนรักเพื่อน มีทัศนะที่ชัดเจนต่อสิ่งต่าง ๆ และชอบการอยู่ในสังคมที่มีแต่คนทัศนะตรงกัน

ชอบกาแฟรสอ่อน ๆ

คน ที่ชอบกาแฟรสชาติอ่อน ๆ ขอให้มีกลิ่นกาแฟก็เป็นอันใช้ได้นั้น แสดงว่าเป็นคนที่ชอบความสงบ สนใจสุขภาพ ชอบความสะอาด และความปลอดโปร่งสบายกาย สบายใจ นอกจากนั้น ยังเป็นคนเคารพความเห็นของผู้อื่น ไม่ชอบโต้แย้งกับใครโดยไม่จำเป็น

ชอบกาแฟหวานจัด

คน ที่ชอบกาแฟหวานมาก ๆ เรียกว่าหวานนำรสอื่น ๆ มาเลยนั้น แสดงว่าเป็นคนที่มีอารมณ์เปราะบาง ปรวนแปรง่าย เป็นคนที่มักจะมีความใฝ่ฝันเกี่ยวกับชีวิตตัวเองที่เป็นอยู่ อยากมีชีวิตที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก อยากเป็นคนพิเศษของใครซักคน

ชอบกาแฟรสกลมกล่อม

ส่วน คนที่ชอบกาแฟรสชาติพอดี ๆ ไม่หวานเกินไป ไม่มันเกินไป แสดงว่าเป็นคนที่ชอบชีวิตที่ลงตัว มีความพอดีในจิตใจ ไม่ชอบการแก่งแย่งแข่งขัน ไม่ชอบการต่อสู้เพื่อให้รู้ผลแพ้ชนะชนะ มักเป็นคนดูแลสุขภาพ ให้ความสนใจเรื่องการเรียน การศึกษา ชอบการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม

ชอบกาแฟร้อน ๆ

สวน คนที่ชอบกาแฟร้อน ๆ นั้น มักเป็นคนที่หาความสุขได้อย่างง่าย ๆ ชอบความมีชีวิตชีวา กระฉับกระเฉง เป็นคนตื่นตัวเร็วและปรับตัวเก่ง สามารถนำเอาประสบการณ์ต่าง ๆ ของตัวเองมาปรับใช้และให้ข้อคิดที่ดีกับคนอื่น ๆ

ชอบดื่มกาแฟเย็น
ส่วน คนที่ไม่ชอบกาแฟร้อน ๆ อุ่นๆ แต่ชอบกาแฟเย็นเจี๊ยบชื่นใจ แสดงว่าเป็นคนชอบการมีเพื่อนเยอะ ๆ ชอบการได้พักผ่อน ผ่อนคลาย เมื่อเวลาทำงานก็ทำงานก็ตั้งใจทุ่มเท แต่พอเวลาพักก็หาความสุขให้กับตัวเองอย่างเต็มที่ เป็นคนร่าเริงเช่นกัน ใครอยู่ใกล้ก็มักเบิกบานไปด้วย



ที่มา : http://board.postjung.com/m/410239.html

6 Worst Coffee Drinks



Now the bad news: That mix of chocolate, whipped cream, egg nog, and mystery syrup in your cup is not coffee. And it's definitely not good for you. Fancy coffeehouse fare is especially dangerous this time of year—’tis the season of gingerbread lattes and loaded hot chocolates. If you’re not careful, you’ll look more like Santa than one of his elves come Christmas Day.

In fact, researchers studied coffee habits in New York and found that two-thirds of Starbucks’ customers opt for blended coffee drinks over regular brewed coffee or tea. The average caloric impact of the blended drinks was 239 calories. The regular coffee or tea, by comparison, was only 63 calories after factoring in added cream and sugar. So even if you like your coffee sweet and light, you can strip away 176 calories every day, just by making this one swap—and shed a pound and a half a month.

While researching Eat This, Not That! 2011, we tracked down the worst dessert-in-a-cup crimes against weight loss, plus much healthier alternatives. This holiday season, make these swaps to turn your neighborhood coffee shop of horrors into a tasty oasis of pick-me-ups—and stick with your new choices into the new year to keep the weight coming off.

Double Chocolaty Chip Frappuccino#6: Worst Chocolaty Coffee Drink
Starbucks Double Chocolaty Chip Frappuccino with Whole Milk and Whipped Cream (venti)

520 calories
23 g fat (14 g saturated, 0.5 g trans)
350 mg sodium
68 g sugars


Talk about double trouble. Within this chocolate calamity lurks three-quarters of your recommended daily intake of saturated fat, and as much sugar as you’ll find in 10 Rainbow Popsicles! Slash your calorie intake by switching to skim milk and cutting out the whipped cream. Knock the size down to a grande, and switch from the frappe to an iced mocha, and you’re looking at a drink with 350 fewer calories than when you started. Make a switch like that every single day, and you’ll lose about 6 pounds in two months!

Drink This Instead!
Grande Iced Caffe Mocha with Skim Milk (No Whipped Cream)
170 calories
2.5 g fat (0 g saturated, 0 g trans)
80 mg sodium
26 g sugars

#5: Worst Seasonal Coffee DrinkDunkin' Donuts Iced Gingerbread latte
Dunkin’ Donuts Iced Gingerbread Latte (large)

450 calories
12 g fat (7 g saturated)
290 mg sodium
68 g sugars


This holiday horror packs a whopping 68 grams of sugar (that's as much as in three and a half Twinkies!) and almost a quarter of your daily calories. (Hope you weren’t planning to eat much today.) To enjoy the same chilly gingerbread coffee flavor, simply swap the latte for iced coffee and drop down a size. Suddenly, you’re looking at nearly half as much sugar and a far more digestible 270 calories. (For more great tips like these, sign up for the Eat This, Not That! newsletter—free to your inbox every morning. Also be sure to follow me right here on Twitter for up-to-the-second diet and weight loss tips that help you lose weight and feel great—without ever dieting!)

Drink This Instead!
Iced Gingerbread Coffee with Cream (medium)
270 calories
9 g fat (5 g saturated)
90 mg sodium
36 g sugars

#4: Worst Caramel-Flavored Coffee DrinkMcDonald's Caramel Latte

McDonalds Caramel Latte with Whole Milk (large)

330 calories
9 g fat (5 g saturated)
210 mg sodium
51 g sugars


This caramel confection hides an unhealthy dose of sugar and an unnecessary amount of calories. But don’t blame the caramel flavoring entirely. Choose the flavored cappuccino instead for a fat-free, lower-calorie, lower-sugar alternative that will hit your sweet spot just the same. When given the choice, always opt for a cappuccino over a latte—they’re made with less milk than lattes, which means they’re lighter, with fewer calories.

Drink This Instead!
Caramel Cappuccino with Skim Milk (medium)
190 calories
0 g fat
150 mg sodium
41 g sugars

Bonus Tip: Sure, restaurants are turning their drinks into calorie-dense desserts. And you should see what they're doing with their apps and entrees. Don't miss—and don't go near—these 20 Scariest Food Creations of 2010!

#3: Worst “Arctic” Coffee Drink
Cosi Double Oh! Arctic Mocha (12 oz)

434 calories
22 g fat (13 g saturated)
241 mg sodium
46 g sugars


This drink’s deliciousness is no excuse for its queasy dietary overload: as many calories as you’ll find in nine Chicken McNuggets, as much sugar as in three and a half bowls of Froot Loops, and as much saturated fat as in 13 strips of bacon. Get the same great taste with a quarter of the fat and 245 fewer calories by opting for an arctic latte instead. No need for all that superfluous chocolate—the latte is just as delicious without the extra baggage.

Drink This Instead!

Arctic Latte (12 oz)
189 calories
5 g fat (3 g saturated)
124 mg sodium
34 g sugars

Bonus Tip: Coffee drinks aren’t the only ones hiding waist-stretching stealth calories; check out this shocking list of the 20 worst drinks in America.

#2: Worst Hot Chocolate Drink
Starbucks White Hot Chocolate with Whole Milk and Whipped Cream (venti)

640 calories
28 g fat (19 g saturated, 0.5 g trans)
330 mg sodium
60 g sugars


No one orders a hot chocolate and expects it to be anything but a dessert-like beverage. And certainly you should enjoy the occasional indulgence. But other times try this: Go with 2% milk and shave 50 calories. Cut the whip and trim another 70. Downsize to a grande and shed 120 more. Or swap to a cinnamon dulce latte, and cut out hundreds of calories while still indulging in a deliciously sweet treat!

Drink This Instead!
Cinnamon Dulce Latte (grande)
210 calories
0 g fat
135 mg sodium
39 g sugars

Bonus Tip: A quick way to save a ton of money each year: Make your own coffee. To discover the best packaged coffee in America, and every other all-star food by category, check out our definitive list of the 125 Best Supermarket Foods.

#1: The Worst Coffee Drink in AmericaLotta Caramel Latte
Cold Stone Creamery Lotta Caramel Latte, Gotta Have It Size

1,790 calories
99 g fat (62 g saturated, 2.5 g trans)
175 g sugars


It may be coffee-flavored, but this latte shake is virtually unrecognizable next to your typical morning cup of Joe. It's simply a giant dessert drink disaster. This large shake has nearly a full day's worth of calories, as much saturated fat as you'll find in 62 strips of bacon, and you'll exceed your daily limit of trans fats in the few minutes it takes you to drink it. Oh, did I mention the ridiculous sugar load? (44 spoonfuls!) If you want a sweet, caramel latte taste, opt for the actual caramel latte at Cold Stone, not the shake. You'll cut more than 1,500 calories from your order!

Drink This Instead!
Lite Milk Caramel Latte, Love it Size
250 calories
2.5 g fat (1.5 g saturated)
34 g sugars

Bonus tip: Always pair your morning coffee with a healthy breakfast. Why? Find the answer, and a bunch of other genius health secrets,, right here: Dr. Oz's Favorite (and Greatest) Health Tips!

By David Zinczenko Nov 29, 2010
http://www.yahoo.com

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วงออร์เคสตร้า Orchestra วงโปรดของคนเขียนค่ะ ^^




บทเพลงต่าง ๆ ที่นักประพันธ์เพลงหรือคีตกวี (Composer) ได้ใช้ความพยามในการแต่ง ขึ้นเพื่อจรรโลงโลกไว้ให้มีแต่ความสวยสดงดงามคู่กับมนุษย์เราตลอดไปนั้นต้องประกอบด้วยองค์ ประกอบหลาย ๆ อย่าง ซึ่งบทเพลงดังกล่าวนั้นไม่สามารถที่จะเกิดเสียงขึ้นมาเองโดยปราศจากผู้เล่นหรือนักดนตรีที่บรรเลงออกมาและบทเพลงที่ประพันธ์ขึ้นนั้นผู้ประพันธ์ได้ตั้งจุดประสงค์เอาไว้ แล้วว่าจะให้วงดนตรีประเภทใดบรรเลงหรือให้ออกมาในรูปแบบใด ซึ่งนักดนตรีก็เปรียบเสมือนเป็น สื่อกลางโดยผ่านเครื่องดนตรีประเภทต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วในบทที่ 3 สำหรับในบทนี้กล่าวถึงการ ผสมวงดนตรีตะวันตกซึ่งการผสมวงดนตรีตะวันตกนั้นขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ เพื่อสนองความ ต้องการของผู้ประพันธ์และการใช้งาน แบ่งออก เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1) วงออร์เคสตรา (Orchestra)

2) วงแบนด์ (Band)

วงออร์เคสตรา (orchestra)
เป็นคำศัพท์เกี่ยวกับดนตรี มีประวัติมาช้านาน และมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปตามยุคสมัย เพื่อสนองความต้องการของผู้ประพันธ์ในการถ่ายทอดความรู้สึกของดนตรีในแต่ละยุค นิยมแปลศัพท์เป็นไทยว่า "ดุริยางค์"

ประวัติ
ออร์เคสตรา เป็นภาษาเยอรมัน ตามความหมายรูปศัพท์ หมายถึง สถานที่เต้นรำ ซึ่งหมายถึง ส่วนหน้าของโรงละครสมัยกรีกโบราณ ที่ใช้เป็นที่เต้นรำและร้องเพลง ของพวกนักร้องประสานเสียงสำหรับดนตรีตะวันตก ออร์เคสตรามีความหมายถึงวงซิมโฟนี ออร์เคสตรา ได้แก่ วงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย รวมกับเครื่องลมไม้ เครื่องลมทองเหลือง และเครื่องตี
ต่อมาในกลางศตวรรษที่ 18 คำว่า ออร์เคสตรา หมายถึง การแสดงของวงดนตรี ซึ่งเป็นความหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามคำนี้ยังคงใช้ในอีกความหมายหนึ่ง คือ พื้นที่ระดับต่ำที่เป็นที่นั่งอยู่หน้าเวทีละคร และโรงแสดงคอนเสิร์ต
ระยะต่อมาในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อเริ่มกำหนดจำนวนเครื่องดนตรีลงในบทเพลง การพัฒนาวงออร์เคสตราจึงเริ่มมีขึ้น ซึ่งในระยะแรกเป็นลักษณะของวงเครื่องสายออร์เคสตรา (string Orchestra) ซึ่งมีจำนวนผู้เล่นประมาณ 10-25 คน โดยบางครั้งอาจจจะมีมากกว่านี้ตามความต้องการของผู้ประพันธ์เพลง ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 วงออร์เคสตรามีการเพิ่มเครื่องลมไม้ และตอนปลายของยุคบาโรค (ประมาณ ค.ศ. 1750) ผู้ประพันธ์เพลงนิยมบอกจำนวนเครื่องดนตรีไว้ในบทเพลงโดยละเอียด นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มเครื่องลมทองเหลือง และเครื่องประกอบจังหวะในออร์เคสตรา
ราวกลางศตวรรษที่ 18 วงออร์เคสตราเป็นรูปแบบขึ้นมาจนได้มาตรฐานในยุคนี้ คือ ยุคคลาสสิก ซึ่งเหตุผลประการหนึ่ง คือ บทเพลงประเภทซิมโฟนีเป็นรูปแบบขึ้นมาในยุคนี้ จึงทำให้ต้องมีการจัดวงออร์เคสตราให้มีมาตรฐาน เพื่อใช้เล่นเพลงซิมโฟนี นอกจากนี้การบรรเลงบทเพลงประเภทคอนแชร์โต โอเปร่า และเพลงร้องเกี่ยวกับศาสนาก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การพัฒนาวงออร์เคสตราเป็นแบบแผนขึ้น
แม้ว่าวงซิมโฟนีออร์เคสตราในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ยังคงมีบทบาทสำคัญในดนตรีตะวันตก ปัจจัยทางเศรษฐกิจก็มีส่วนในการกำหนดขนาดวงออร์เคสตรา หรือแนวทางการประพันธ์เพลงเพื่อใช้กับวงออร์เคสตรา แต่สิ่งนี้ก็มิได้กีดกั้นการสร้างสรรค์ผลงานประเภทที่ใช้วงออร์เคสตราของผู้ประพันธ์เพลงแต่อย่างใด



เครื่องดนตรีที่ใช้ในวงออร์เคสตรา
โดยธรรมดาแล้ว จะมีสัดส่วนดังนี้
ประเภทเครื่องสาย
1.ไวโอลินลำดับที่ 1 - First violin (นักไวโอลินที่นั่งใกล้วาทยากรคือหัวหน้าวงดนตรีหรือ Concert Master ตำแหน่งของนักไวโอลินลำดับที่ 1 จำเป็นจะต้องอยู่ใกล้วาทยากรให้มากที่สุด ตำแหน่งเครื่องเป่าและแตรปกติจะอยู่ระหว่างตำแหน่งต่าง ๆ ของเครื่องสาย)
2. ไวโอลินลำดับที่ 2 - Second violin
3. เชลโล่ - Cello
4. วิโอล่า - Viola
5. ดับเบิลเบส - Double bass
6.ฮาร์ป - harp (ได้นำเสนอเพลงเกี่ยวกับ harp และวง orchestra ไว้ด้วยนะคะ)
ประเภทเครื่องลมไม้
7. อิงลิช ฮอร์น - English horn
8. โอโบ - Oboe
9. ฟลูต - Flute
10. เบส คลาริเนต - Bass clarinet
11. คลาริเนต - Clarinet
12. บาสซูน - Bassoon
13. คอนทรา บาสซูน - Contra Bassoon
ประเภทเครื่องลมทองเหลือง
1. เฟรนช์ฮอร์น - French Horn
2. ทูบา - Tuba
3. ทรอมโบน - Trombone
4. ทรัมเปต - Trumpet

ประเภทเครื่องกระทบ

1. ทิมปานี - Timpani [(ตำแหน่งเครื่องดนตรีที่อยู่ห่างวาทยากรที่สุดคือ กลุ่มของเครื่องดนตรีประเภทตี - Percussion)
2. ฉาบ - Cymbal
3. เบส ดรัม - Bass Drum
4. ไทรแองเกิ้ล - Triangle
5. กลอง - side หรือ Snare Drum
6. Tubular Bells - ระฆังราว
7.ไซโลโฟน - Xylophone ระนาดฝรั่ง ในบางกรณีที่แสดงเปียโนคอนแชร์โต้ ตำแหน่งของเปียโนจะถูกผลักมาอยู่ข้างหน้า

รู้หรือไม่ ท้าวทองกีบม้า เจ้าของสูตรขนมไทย มีเชื้อญี่ปุ่น?!



ประวัติชีวิตในตำนานของท้าวทองกีบม้า ตามที่ปรากฏหลักฐานในเอกสารต่างๆ จัดว่ามีอยู่น้อย กระจัดกระจาย และสับสนเกินกว่าจะผูกเรื่องราวชีวิตของหญิงผู้นี้ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่เว้นแม้กระทั่งข้อสันนิษฐานที่อ้างว่าท้าวทองกีบม้าผู้นี้คือต้นคิดขนมไทยตำรับโปรตุเกส รวมไปถึงนามบรรดาศักดิ์ "ท้าวทองกีบม้า" ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่พบหลักฐานเอกสารใดๆ ที่อ้างอิงไว้อย่างชัดเจนว่า มารี กีมารด์ คือเจ้าของนามบรรดาศักดิ์ ท้าวทองกีบม้า คนแรก
ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแนวคิด และการตีความของนักวิชาการในชั้นหลังทั้งสิ้น
ประวัติชีวิตของท้าวทองกีบม้าจะไม่มีความชัดเจน เนื่องจากถูกบดบังไปกับประวัติชีวิต และงานของ ก็องสตังซ์ ฟอลคอน เป็นส่วนใหญ่ แต่อย่างไรก็ดีหลักฐานจากบันทึกในจดหมายเหตุของชาวต่างประเทศ ก็ได้ทิ้งเบาะแสไว้ให้แกะรอยท่านผู้หญิงหมายเลขหนึ่งท่านนี้
เวลาที่ฟอลคอนเรืองอำนาจในสยาม และยามตกอับ เพียงพอให้เห็นเงาร่างของท้าวทองกีบม้าได้พอสมควร

ท้าวทองกีบม้าลูกใคร?ประวัติท้าวทองกีบม้าในเอกสารหลายฉบับทั้งในภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ มีความสับสนจนถึงคลาดเคลื่อนในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่อง "พ่อ" ของท้าวทองกีบม้า กับภาคภาษาไทยที่สับสนในคำว่า Grandmother ว่าควรจะเป็น "ยาย" หรือ "ย่า" มากกว่ากัน ความสับสนนี้ทำให้เกิดบทสรุปในชีวิตของท้าวทองกีบม้าผิดแผกไปจากที่ควรจะเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องของชาติกำเนิด
ต้นสกุลลึกที่สุดที่มีหลักฐานปรากฏในบันทึกของบาทหลวงเดอ แบส ต้นสกุลคือ อิกเนซ มาร์แตงซ์ (Ignez Martinz) แต่งงานกับชาย "ชาวญี่ปุ่น" ที่เป็นเจ้านายชั้นสูง ก่อนจะย้ายเข้ามาอยู่ในสยาม จากนั้นก็อนุญาตให้ "บุตรชาย" แต่งงานกับหญิงสาวชาวญี่ปุ่นคือ อุรซุล ยามาดา (Ursule Yamada) ซึ่งพำนักอยู่ในสยามเช่นเดียวกัน แล้วก็ให้กำเนิดท้าวทองกีบม้า ในลำดับต่อมา
เท่ากับว่า อิกเนซ มาร์แตงซ์ แท้จริงคือ "ย่า" ของท้าวทองกีบม้า ในขณะที่ "บุตรชาย" ของ อิกเนซ มาร์แตงซ์ ซึ่งไม่ปรากฏชื่อในบันทึกใดๆ ก็ควรจะเป็น "พ่อ" แท้ๆ ของท้าวทองกีบม้า

แต่แล้วก็ปรากฏคนชื่อ ฟานิค (Phanick) ขึ้นมา ซึ่งถูกอ้างในเอกสารหลายแห่งว่าเป็น "พ่อ" ของท้าวทองกีบม้า ที่มีบทบาทหวงลูกสาวเมื่อคราวฟอลคอนไปขอแต่งงาน ทำให้เกิดปัญหาว่า ฟานิค ผู้นี้คือใครกันแน่
จดหมายของ "อิงลิช คาทอลิก" ที่มีไปถึง หลวงพ่อปิแอร์ ดอร์เลอังส์ (Letter of "An English Catholic" to Pere d"Orleans) ระบุว่า ฟานิค เป็นคนผิวคล้ำ ลูกครึ่งระหว่างเบงกอลกับญี่ปุ่น และเป็นคาทอลิก
การที่ฟานิคถูกระบุว่าเป็นลูกครึ่งเบงกอลกับญี่ปุ่น จึงไม่ใช่ "บุตรชาย" ของอิกเนซ มาร์แตงซ์ กับ "ชายชาวญี่ปุ่น" แน่
ในขณะที่บันทึกความทรงจำของบาทหลวงเดอ แบส ซึ่งอ้างว่าได้พบ และพูดคุยกับอิกเนซ มาร์แตงซ์ ย่าของท้าวทองกีบม้า ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ กล่าวถึงฟานิคในฐานะเป็น "พ่อ" รวมทั้งเอกสารของบาทหลวงชาวฝรั่งเศสหลายฉบับ ไม่ลังเลที่จะใช้คำว่า "พ่อของมารี กีมารด์" (Her father"s name was Fanique)
ดังนั้นจึงเป็นไปได้สองทาง อย่างแรกคือ ฟานิคคนนี้เป็น "พ่อเลี้ยง" ของท้าวทองกีบม้า โดยที่ อุรซุล ยามาดา แม่ของท้าวทองกีบม้า แต่งงานใหม่กับฟานิค หลังจากให้กำเนิดท้าวทองกีบม้าแล้ว
ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้สอดคล้องกับบทความของ อี. ดับเบิลยู. ฮัตชินสัน (E. W. Hutchinson) ซึ่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สยามสมัยพระนารายณ์ฯ ในหนังสือ ๒ เล่ม ที่มีการกล่าวถึงประวัติชีวิตของท้าวทองกีบม้า คือ Adventure in Siam in the 17th Century และ 1688 Revolution in Siam ฮัตชินสันมักจะใช้คำว่า "ผู้เลี้ยงดู" หรือ "พ่อเลี้ยง" เมื่อกล่าวถึงฟานิค
อีกทางหนึ่งคือ ฟานิคเป็นพ่อแท้ๆ ของท้าวทองกีบม้าซึ่งแต่งงานใหม่กับอุรซุล ยามาดา ภายหลัง "บุตรชาย" ของอิกเนซ มาร์แตงซ์ แล้วให้กำเนิดท้าวทองกีบม้า ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานบางชิ้นที่ระบุว่า ท้าวทองกีบม้ามี "ผิวคล้ำ" ซึ่งใกล้เคียงกับฟานิค ก็เป็นลูกครึ่งเบงกอล-ญี่ปุ่น และมีผิวคล้ำ
เราไม่สามารถหาข้อสรุปในกรณีนี้ได้อย่างชัดเจนว่า ท้าวทองกีบม้าแท้จริงแล้วเป็นลูกใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคำกล่าวอ้างในทางร้ายเกี่ยวกับอุรซุล ยามาดา แม่ของท้าวทองกีบม้า ว่าเป็นหญิงที่มีความประพฤติไม่ดีในทางชู้สาว ฟานิคอาจจะเป็นคนที่เข้ามาตรงกลางระหว่าง "บุตรชาย" ของอิกเนซ มาร์แตงซ์ กับอุรซุล ยามาดา จนให้กำเนิดท้าวทองกีบม้าก็เป็นได้
แต่ที่แน่ๆ คือ ฟานิคเป็นบุคคลที่คนยอมรับให้เป็น "พ่อ" ของท้าวทองกีบม้า ไม่ว่าจะเป็นพ่อเลี้ยง หรือพ่อตัวก็ตาม

ชื่อเดิมของท้าวทองกีบม้า
ในบรรดาเอกสารของบาทหลวงฝรั่งเศสที่บันทึกเรื่องราวของท้าวทองกีบม้า ได้ระบุชื่อเดิมไว้ ๒ ชื่อ คือ มารี ชีมารด์ (Marie Gimard) และอีกชื่อหนึ่งซึ่งปรากฏในจดหมายที่ท้าวทองกีบม้าให้ผู้อื่นช่วยเขียนเป็นภาษาละติน มีไปถึงบิชอปฝรั่งเศสในประเทศจีน แล้วลงชื่อด้วยตัวเองว่า ดอญ่า กีมาร์ เดอ ปินา (D. Guimar de Pina) ชื่อหลังนี้ระบุได้ชัดว่าเป็นชื่อโปรตุเกส ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับชาวต่างชาติที่เป็นคาทอลิก
เช่นเดียวกับนักเรียนชาวสยามในสมัยเดียวกันนี้ ที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงส่งไปเรียนที่ฝรั่งเศสก็ล้วนเปลี่ยนเป็นชื่อคาทอลิกกันทั้งสิ้น เช่น พี เปลี่ยนเป็น ปิเย เอมานูเอล (Pierre Emmanuel) อ่วม เปลี่ยนเป็น ปอล อาตูส (Paul Artus) เป็นต้น นักเรียนชาวสยามเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นลูกครึ่งฝรั่ง ชื่อที่เปลี่ยนไปในลักษณะนี้จึงมักทำให้เข้าใจผิดว่าต้องเป็นลูกครึ่ง
แม้แต่ คลารา (Clara) สาวใช้ของท้าวทองกีบม้า แท้จริงคือสาวชาวจีน รวมไปถึง คอนสแตนติน ฟอลคอน (Constantine Phaulcon) ก็เป็นชื่อคริสเตียนเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่สาวญี่ปุ่นอย่างท้าวทองกีบม้าจะใช้ชื่อฝรั่งเป็นชื่อตัวดังเช่นชื่อทั้งสองนั้น
แต่จากสาแหรกตระกูลของท้าวทองกีบม้า ทำให้เกิดปัญหาที่ว่าชื่อ มารี กีมาร์ เดอ ปินา (Marie Guimar de Pina) หรือบางแห่งก็เขียนเป็น Guimar de Pina นั้น กลับไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับชื่อสกุลของวงศาคณาญาติเลย โดยเฉพาะนามสกุล กีมาร์ (Guimar) หรือ ปินา (Pina) นั้น ไม่พบหลักฐานที่มาที่ไปใดๆ ทั้งสิ้น
ทองกีบม้ามีย่าชื่อ อิกเนซ มาร์แตงซ์ (Ignez Martinz) ซึ่งมักอ้างกันว่าเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น-โปรตุเกส อันเนื่องมาจากชื่อฝรั่งนั่นเอง แต่ดังที่กล่าวมาแล้ว หากย่าของท้าวทองกีบม้าเป็นชาวญี่ปุ่นโดยกำเนิด แล้วหันมานับถือคาทอลิกก็สามารถเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อฝรั่งได้
หากข้อสันนิษฐานนี้เป็นจริง จะทำให้เชื้อสายของท้าวทองกีบม้าไม่มีส่วนเกี่ยวพันใดๆ กับโปรตุเกสเลย
แม้จะมีบันทึกในจดหมายเหตุฟอร์บัง นายทหารชาวฝรั่งเศสที่มารับราชการในสยามจนได้เป็นที่ออกพระศักดิสงคราม อ้างว่าท้าวทองกีบม้าจะมีลุงเป็น "คนครึ่งชาติ" คือมีพ่อเป็นโปรตุเกส และแม่ญี่ปุ่น ซึ่งก็พิสูจน์ได้ว่าลุงคนนี้คงจะไม่ใช่เป็นสายตรงกับท้าวทองกีบม้า เพราะไม่สัมพันธ์กับหลักฐานตามเชื้อสายของปู่-ย่า-พ่อ-แม่ ของท้าวทองกีบม้า นอกจากนี้ลุงคนนี้ก็ไม่ปรากฏชื่อ และนามสกุลใดๆ
ปู่และ "บุตรชาย" เป็นชาวญี่ปุ่นไม่ปรากฏชื่อ และนามสกุล พ่อชื่อ ฟานิค (Phanick ถ้าเป็นชื่อคาทอลิกสะกดเป็น Fanik) ไม่มีหนังสือเล่มไหนระบุ "นามสกุล" ของฟานิคแม้แต่เล่มเดียว แม่คือ อุรซุล ยามาดา (Ursule Yamada) เป็นชาวญี่ปุ่นใช้นามสกุลญี่ปุ่น

สุดท้ายคือสามี คอนสแตนติน ฟอลคอน นามสกุลเดิมในภาษากรีกคือ เยรากี (Garakis, Hierachy) แปลว่า เหยี่ยว ภายหลังเปลี่ยนเป็น ฟอลคอน (Falcon, Phaulkon) ในภาษาอังกฤษ หมายถึงเหยี่ยวเช่นเดียวกัน
แต่ท้าวทองกีบม้าก็ไม่ใช้นามสกุลใดๆ ของฟอลคอน เพียงแต่ถูกเรียกว่า "มาดามก็องสตังซ์" ตามนามของสามี ส่วนบุตรชายของฟอลคอนกลับใช้นามสกุลตามพ่อคือ ยอร์ช ฟอลคอน จนถึงชั้นหลานคือ จอห์น ฟอลคอน ต่างก็ใช้นามสกุล ฟอลคอนต่อกันมา
สรุปก็คือ ก่อนแต่งงานท้าวทองกีบม้ายังใช้นามสกุลเดิมของตัวเองอยู่คือ "ชีมารด์" หรือ "กีมารด์" เมื่อแต่งงานแล้วจะใช้นามว่า มารี ฟอลคอน หรือกีมารด์ ฟอลคอน หรือไม่นั้นไม่ปรากฏหลักฐาน แต่ถูกเรียกตามชื่อสามีเป็น "มาดามก็องสตังซ์"
และเมื่อเขียนจดหมายไปหาบาทหลวงในเมืองจีน ขณะนั้นท้าวทองกีบม้าสิ้นเนื้อประดาตัว และหมดอำนาจวาสนาใดๆ ไปพร้อมกับมรณกรรมของฟอลคอน จึงลงนามในหนังสือว่า D. Guimar de Pina ใช้นามสกุล "ปินา" โดยไม่ใช้ "ฟอลคอน" อีกเช่นกัน
ก็ยังเป็นที่สงสัยว่านามสกุลทั้งสองคือ กีมารด์ และปินา นั้นมีที่มาจากไหนกันแน่
หากหนึ่งในนี้ คือ กีมารด์ หรือปินา เป็นของฟานิค เหตุใดเมื่อกล่าวถึงบุคคลผู้นี้จึงละนามสกุลไว้โดยไม่อ้างถึง หรือหากเป็นนามสกุลของ "บุตรชาย" พ่อญี่ปุ่นของท้าวทองกีบม้า หรือปู่ สามีของอิกเนซ มาร์แตงซ์ เหตุใดเมื่อเอกสารอ้างถึงบุคคลสองคนนี้จึงไม่อ้างถึงชื่อใดๆ
หรือว่านามสกุลกีมาร์ และปินา จะเป็นเพียงนามที่บาทหลวงตั้งให้หลังจากรับศีลเข้ารีตในคาทอลิก โดยไม่มีที่มาที่ไป
นามสกุลของท้าวทองกีบม้าจึงเป็นปริศนาอีกชิ้นหนึ่งในประวัติชีวิตที่แสนสับสนนี้

หน้าตา และบุคลิกของท้าวทองกีบม้าLuang Sitsayamkan (หลวงสิทธิสยามการ) เขียนบรรยายถึงบุคลิกหน้าตาของท้าวทองกีบม้าไว้ในหนังสือ The Greek Favourite of The King of Siam ว่า ท้าวทองกีบม้าเป็นหญิงสาวชาวญี่ปุ่น รูปร่างผอม ผมดำ ตาสีน้ำตาล ผิวหน้าสะอาดสดใส สูงราว ๕ ฟุต รูปร่างเล็ก สดใสร่าเริง แม้จะไม่สวยมาก แต่ก็เป็นหญิง "ผิวคล้ำ" ที่ดึงดูดใจ และมีรูปร่างดี
น่าเสียดายที่หลวงสิทธิสยามการไม่ได้อ้างแหล่งที่มาของข้อมูลที่ไม่เคยมีใครกล่าวถึงนี้ ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลชิ้นนี้ได้ว่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด
แต่หากเรายึดถือเอาข้อมูลนี้เป็นหลัก ก็สามารถยืนยันได้ว่า รูปลักษณะภายนอกของท้าวทองกีบม้า แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็น "สาวญี่ปุ่น" เต็มตัว

ผิวที่ค่อนข้างคล้ำ อาจเกิดจากภูมิอากาศ หรืออาจได้ส่วนมาจากฟานิคผู้เป็นพ่อ ที่เป็นลูกครึ่งแขกกับญี่ปุ่น ดังนั้นท้าวทองกีบม้าจึงน่าจะมีผิวเหมือนกับชาวสยามลูกครึ่งจีน คือไม่ขาวซีดแบบชาวตะวันออก และไม่ดำคล้ำจนเกินไป
ทางด้านบุคลิกของท้าวทองกีบม้า ควรจะเป็นเช่นชาวญี่ปุ่นโดยทั่วไป เนื่องจากท้าวทองกีบม้าไม่ได้อยู่สยามเพียงลำพัง มีทั้งญาติสนิท และชาวญี่ปุ่น ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในสยามขณะนั้นเป็นจำนวนไม่น้อย ซึ่งแน่นอนว่าชาวญี่ปุ่นเหล่านั้นจะนำพาเอาวัฒนธรรม และวิถีชีวิตแบบเดิมของตัวติดมาด้วย จนสามารถแยกออกจากชาติอื่นได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นท้าวทองกีบม้าจึงน่าจะ "แสดงตัว" อย่างชาวญี่ปุ่นทั่วไป ซึ่งจะตรงกับบันทึกของบาทหลวงเดอ แบส ที่ให้ "คำจำกัดความ" ท้าวทองกีบม้า เมื่อพูดถึงในครั้งแรก ว่า
"...เขา (หมายถึงฟอลคอน) ได้บังเกิดความสนใจในคุณความดี และความงามของสตรีสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งนามว่า มารี ชีมารด์..."

การแต่งกายของท้าวทองกีบม้า
ท้าวทองกีบม้าจะเป็นคาทอลิก แต่ก็เป็นสาวญี่ปุ่น นั่นหมายความว่า นอกจากชื่อแล้วคาทอลิกไม่จำเป็นต้องมี "เครื่องแบบ" สำหรับแสดงตัว วิถีชีวิตประจำวันของท้าวทองกีบม้าจึงสามารถดำเนินตามรูปตามรอยของชาวญี่ปุ่นได้อย่างเต็มที่ เพราะทั้งครอบครัวญาติพี่น้องก็เป็นญี่ปุ่นเต็มตัว บางคนในนี้อพยพมาจากญี่ปุ่นโดยตรง
นอกจากนี้ชุมชนชาวต่างชาติในสยามต่างก็รักษารูปแบบการดำเนินชีวิตและวัฒนธรรมตามแบบเชื้อชาติของตนทั้งสิ้น จึงเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า ท้าวทองกีบม้าจะแต่งกายแบบชาวญี่ปุ่น หรือไม่ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับชาวญี่ปุ่นอย่างมาก ตามแต่จะปรับปรุงคลี่คลายให้เข้ากับวัตถุดิบ หรือสภาพอากาศในสยาม
แม้ว่าท้าวทองกีบม้าจะเกิดในสยาม ไม่เคยเห็นประเทศญี่ปุ่นเลยตลอดชีวิต แต่ก็มีญาติสนิทที่เป็นผู้หญิงตามที่ปรากฏในหลักฐานอย่างน้อย ๓ คน คือ ย่า ป้า น้า และแม่ ย่อมสามารถเป็นแบบอย่างชาวญี่ปุ่นให้ท้าวทองกีบม้าได้เรียนรู้
ในขณะที่ระเบียบทางสังคมก็ไม่ได้บีบบังคับให้ชาวต่างชาติต้องหลอมละลายเป็นชาวสยามทั้งหมด ในทางตรงกันข้ามการเปิดโอกาสให้แสดงตัวเป็นชาวต่างชาติอย่างชัดเจน และการกำหนดถิ่นที่อยู่ที่แน่นอน ย่อมเป็นประโยชน์ในการควบคุมดูแลเพื่อความมั่นคงของชาติได้เป็นอย่างดี ในจิตรกรรมฝาผนังเราจึงพบเห็นคนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น มอญ ลาว แขก จีน ฝรั่ง แต่งกายกันตามวัฒนธรรมของตนได้อย่างเสรี
ส่วนอีกเรื่องที่ว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ที่หญิงญี่ปุ่นอย่างท้าวทองกีบม้าจะ "แต่งแหม่ม" เนื่องจากมีถิ่นพำนักในหมู่บ้านโปรตุเกส และเป็นคาทอลิก

ข้อนี้จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับชาวสยามที่คิดริเริ่มจะแต่งแหม่มในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีความจำเป็นหลายด้านผลักดันให้สยามต้องดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการถูกดูหมิ่นว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นต้องอาศัยความกล้าหาญของเจ้านายชาววังอยู่ไม่น้อย ในการเป็นผู้นำแฟชั่น "แม่พลอย" หญิงงามอีกคนหนึ่งที่ผลัดโจงกระเบนมานุ่งกระโปรง ก็แทบก้าวขาไม่ออกในครั้งแรก
ดังนั้นการแต่งกายอย่างผิดชาติผิดภาษาในสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงเป็นเรื่องที่สังคมในสมัยนั้นคงจะยอมรับได้ยาก ท้าวทองกีบม้าแม้จะเกิดในสยามแต่ก็แวดล้อมไปด้วยครอบครัวชาวญี่ปุ่น และยังมีหน้าตาบุคลิกอย่างชาวเอเชีย จึงมีเพียง ๒ ทางเลือกสำหรับเรื่องนี้คือ แต่งกายอย่างชาวสยาม นุ่งโจง ห่มแถบห่มสไบ หรือแต่งอย่างญี่ปุ่น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะขณะนั้นชุมชนชาวญี่ปุ่นก็กลับมาตั้งชุมชนอยู่เป็นหลักฐานแล้ว หลังจากบ้านแตกสาแหรกขาดในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง

ถิ่นที่อยู่ของท้าวทองกีบม้า
ท้าวทองกีบม้าเมื่อแรกกำเนิดในสยามนั้น มีถิ่นพำนักอยู่ในหมู่บ้านโปรตุเกสรวมกับญาติพี่น้องชาวญี่ปุ่นอีกหลายคน หมู่บ้านนี้เป็นแหล่งรวมของชนชาติต่างๆ ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ตั้งอยู่ทางตอนใต้นอกเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา
ส่วนฟอลคอนเป็นชาวกรีก เมื่อแรกเข้ามาสู่สยาม เคยอยู่ในชุมชนชาวอังกฤษ เนื่องจากทำการค้าในสังกัดอังกฤษ ภายหลังเมื่อขัดแย้งกับอังกฤษจึงย้ายที่อยู่ใหม่ ตามบันทึกของบาทหลวงกีร์ ตาชารด์ ผู้นิยมชมชอบฟอลคอนเป็นพิเศษ ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับการเดินทางมาสู่สยามไว้อย่างละเอียด ส่วนหนึ่งในนั้นคือประวัติชีวิตของฟอลคอน
บาทหลวงตาชารด์ได้ระบุถิ่นที่อยู่ของฟอลคอนก่อนที่จะได้เป็นใหญ่เป็นโตในสยามคือ "ม.ก็องสตังซ์ ซึ่งก่อนหน้านี้พำนักอยู่ในค่าย หรือหมู่บ้านญี่ปุ่น" ก่อนจะย้ายไปอยู่ในทำเนียบใหญ่โตภายในเกาะเมือง เมื่อได้รับตำแหน่งสูงทางการเมือง
เมื่อพิจารณาแผนที่กรุงศรีอยุธยาที่ทำขึ้นในสมัยนั้น ก็จะพบว่าทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาใต้เกาะเมืองนั้น เป็นที่ตั้งของชุมชนชาวต่างประเทศขนาดใหญ่อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน มีหมู่บ้านฮอลันดา และหมู่บ้านญี่ปุ่นเป็นหลัก และตรงข้ามฝั่งแม่น้ำคือ หมู่บ้านโปรตุเกส การไปมาหาสู่ระหว่างชุมชนจึงเป็นเรื่องง่าย
ที่หมู่บ้านโปรตุเกสนี่เองเป็นสถานที่ท้าวทองกีบม้า และฟอลคอนได้พบและรู้จักกัน
เหตุที่ท้าวทองกีบม้าและครอบครัวเลือกที่จะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านโปรตุเกส แทนที่จะข้ามฟากอยู่ในหมู่บ้านญี่ปุ่นตามเชื้อชาตินั้น ก็คงจะด้วยเหตุผลทางศาสนาเป็นหลัก เพราะทั้งครอบครัวเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัดกันหมด น่าจะมีความอึดอัดใจหากต้องไปอยู่ในสภาพแวดล้อมของศาสนาอื่นในหมู่บ้านญี่ปุ่น
นอกจากนี้กลุ่มชาวต่างชาติต่างศาสนายังได้รับสิทธิพิเศษที่ทางรัฐบาลสยามยกเว้นไว้สำหรับชาวคาทอลิก คืออนุญาตให้ดำเนินกิจกรรมทางศาสนาได้โดยสะดวก ที่หมู่บ้านโปรตุเกสจึงเป็นแหล่งรวมของชนชาติต่างๆ ทั้ง มอญ ลาว เขมร ญวน จีน ญี่ปุ่น ที่เป็นคาทอลิก ยกเว้นชาวสยามซึ่งขณะนั้นยังแทบไม่มีใครเข้ารีตนับถือศาสนานี้
แม้แต่ชาวโปรตุเกสเองส่วนใหญ่ก็เป็นชาวโปรตุเกสเลือดผสมอินเดีย เมื่อเข้ามาตั้งถิ่นฐานในระยะแรก ก็ได้รับพระราชทานที่ดินแปลงใหญ่ในบริเวณที่ใกล้ตัวเมืองเป็นที่อยู่อาศัย และดำเนินชีวิตไปตามกฎหมาย และประเพณีของตนได้ เป็นอิสระจากตุลาการศาลสยาม
ครอบครัวชาวญี่ปุ่นของท้าวทองกีบม้าจึงเป็นกลุ่มชนชาวญี่ปุ่นอีกครอบครัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านโปรตุเกสด้วยเหตุผลดังกล่าว
ภายหลังจากแต่งงาน ท้าวทองกีบม้าก็ย้ายเข้าไปอยู่ในทำเนียบหรูหราของฟอลคอน ปรากฏอยู่ในแผนที่ซึ่งทำขึ้นในสมัยอยุธยา ปัจจุบันที่อยู่บริเวณระหว่างจวนผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กับโรงเรียนจิรศักดิ์ กับบ้านอีกหลังที่เมืองลพบุรี ด้วยปรากฏหลักฐานว่า ท้าวทองกีบม้าได้พาคลาราทาสสาวชาวจีนหนีเรื่องชู้สาวกับฟอลคอนจากลพบุรี กลับมาอยู่บ้านในกรุงศรีอยุธยา และอีกบันทึกหนึ่งของบาทหลวงเดอ แบส กล่าวว่า มีหมู่บ้านคริสตังที่ลพบุรี เพราะฟอลคอนได้สร้างโบสถ์ไว้ที่นั่น ทั้งยังมีเด็กหญิงชายที่ภรรยาฟอลคอนเลี้ยงไว้ที่ลพบุรีเข้ารีต
แต่ปัจจุบันยังเป็นปัญหาอยู่ว่ากลุ่มบ้านหลวงรับราชทูตนั้น หลังไหนเป็นบ้านวิชเยนทร์กันแน่ ซึ่งเป็นไปได้อย่างมากคือภายหลังพิธีรับแขกเมืองแล้ว ฟอลคอนอาจจะครอบครองใช้ที่แห่งนี้เป็นที่พักในลพบุรีก็เป็นได้
หลังจากมรณกรรมของฟอลคอนแล้ว ท้าวทองกีบม้าก็ยังคงผูกพันอยู่กับหมู่บ้านโปรตุเกส ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของญาติพี่น้อง ครั้งหนึ่งในระหว่างถูกกักกัน ท้าวทองกีบม้ายัง "ขอไปเยี่ยมมารดาของเธอที่ป่วยอยู่ ณ ค่ายพวกโปรตุเกส" ส่วนญาติพี่น้องนั้นก็เดินทางจากบ้านโปรตุเกสมาเยี่ยมท้าวทองกีบม้าในระหว่างถูกกักกันเสมอ
แม้ในระหว่างอายุ ๖๐ กว่าปี ที่ต้องเข้าไปทำงาน และอาศัยอยู่ในวัง ท้าวทองกีบม้าก็ยังไปมาหาสู่หมู่บ้านโปรตุเกสอยู่เป็นประจำ ตามบันทึกของมองซิเออร์โชมองต์ ในประชุมพงศาวดารภาค ๓๕ ว่า
"...มาดัมคอนซตันซ์จะไปวัดคริสเตียนก็ได้ตามใจชอบ บางทีก็ไปนอนยังบ้านซึ่งเป็นบ้านอย่างงดงามในค่ายของพวกปอตุเกศ และเป็นที่อยู่ของหลานด้วย..."
จนเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิต เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า ท้าวทองกีบม้าจะกลับมาอาศัย และยึดเอาหมู่บ้านโปรตุเกสเป็นเรือนตาย และที่ฝังศพ เมื่ออายุ ๘๐ กว่าปี

ท้าวทองกีบม้าพูดภาษาอะไร
ท้าวทองกีบม้า แม้จะเป็นสาวญี่ปุ่น แต่ก็เกิดในสยาม และตลอดช่วงชีวิตก็เข้านอกออกในพระราชวังอยู่เป็นนิจ จึงควรจะพูดภาษาสยามได้ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่ชัดเจนว่า ท้าวทองกีบม้า "พูดไทยได้" คือบันทึกของบาทหลวงเดอ แบส ดังนี้
"...ตั้งแต่นั้นมา เขาก็สั่งผู้คุมให้อนุญาตให้เราพูดกับมาดามก็องสตังซ์ได้ก็แต่ด้วยภาษาสยามเท่านั้น และต้องให้พูดกันต่อหน้าผู้คุมด้วย เพื่อเป็นสักขีพยานว่าเราได้พูดว่ากระไรกันบ้าง..."
ขณะเดียวกันท้าวทองกีบม้าก็เป็นชาวญี่ปุ่น มีพี่น้องที่อพยพมาจากญี่ปุ่น ภาษาญี่ปุ่นจึงไม่น่ามีปัญหา
ส่วนอีกภาษาหนึ่งคือ โปรตุเกส ท้าวทองกีบม้า และครอบครัว อาศัยอยู่ในหมู่บ้านโปรตุเกส จึงเป็นไปได้อีกเช่นกันที่ท้าวทองกีบม้าจะพูดภาษานี้ได้
โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากบันทึกของบาทหลวงเดอ แบส ที่ว่า ผู้คุมบังคับให้พูดภาษาสยาม แสดงว่าก่อนหน้านี้ ทั้งคู่ต้องเคยคุยภาษาอื่นมา ซึ่งบาทหลวงเดอ แบส เป็นชาวฝรั่งเศส ที่เรียนภาษาโปรตุเกส และภาษาสยามมาในเรือ ท้าวทองกีบม้าพูดฝรั่งเศสไม่ได้แน่ เช่นเดียวกับฟอลคอน ดังนั้น บาทหลวงเดอ แบส และท้าวทองกีบม้าจึงน่าจะเคยคุยกันด้วยภาษาโปรตุเกสเป็นหลัก
ส่วนฟอลคอน แม้จะเป็นล่ามให้กับคณะราชทูตฝรั่งเศส แต่ก็พูดฝรั่งเศสไม่ได้ จึงติดต่อกับคณะราชทูตฝรั่งเศสด้วยภาษาโปรตุเกส นอกจากนี้ยังสามารถ "พูดไทย" ได้อีกภาษาหนึ่ง แต่ไม่น่าจะถนัดเท่ากับภาษาโปรตุเกส
ดังนั้น ฟอลคอนจึงน่าจะ "จีบ" ท้าวทองกีบม้าด้วยภาษาโปรตุเกส และใช้ภาษานี้เรื่อยมาตลอดชีวิตการแต่งงาน มากกว่าภาษาไทย

รสนิยมของท้าวทองกีบม้า
ชีวิตความเป็นแม่บ้าน และสตรีหมายเลขหนึ่งในเวลาเดียวกันของท้าวทองกีบม้า น่าจะมีอิทธิพลต่อชีวิตการงานของฟอลคอนไม่น้อย ขณะที่สินค้าจากประเทศจีน และญี่ปุ่นกำลังเป็นที่นิยมในสยาม จึงเป็นโอกาสอันดีที่ท้าวทองกีบม้าจะได้แสดงความเป็นญี่ปุ่นออกมาในชีวิตประจำวัน และงานรับใช้สามี ซึ่งเป็นลักษณะของแม่บ้านชาวญี่ปุ่นโดยทั่วไป สิ่งนี้สะท้อนออกมาในการตกแต่งสถานที่พักคณะราชทูต ซึ่งท้าวทองกีบม้าอาจจะมีส่วนในการเป็น "แม่งาน" ในการนี้อยู่บ้าง
ในบันทึกของบาทหลวงตาชารด์ เกี่ยวกับการตกแต่งที่พักของราชทูต เดอ โชมองต์ ให้รายละเอียดไว้ดังนี้

“บ้านของเขาตกแต่งงดงามพอสมควร และแทนที่จะใช้ม่านพรมขึงประดับฝาห้อง อันไม่เหมาะสมสำหรับประเทศสยามซึ่งมีอากาศร้อน ที่หอนั่งจึงใช้ฉากญี่ปุ่นขนาดใหญ่ และมีราคาสูงกั้นไว้โดยรอบ ฉากญี่ปุ่นนี้มีลวดลายงดงามอย่างน่าพิศวง..."
นอกจากนี้ในการประดับตกแต่งที่พำนักราชทูต ยังมี "ตู้เก็บถ้วยชามนั้นเต็มไปด้วยภาชนะทองคำ และเงินจากประเทศญี่ปุ่น"
น่าเสียดายที่ไม่มีบันทึกใดที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการตกแต่งบ้านพักหรูหราของฟอลคอน นอกจาก มูไรส์ คอลลิส (Maurice Collis) ผู้แต่ง Siamese White ได้กล่าวถึงความหรูหราในบ้านพัก และโบสถ์ของฟอลคอนว่า "...ที่ข้างในประดับไปด้วยหินอ่อนมีลายทอง มีภาพที่เกี่ยวด้วยศาสนาเขียนโดยช่างเขียนญี่ปุ่นที่มีฝีมือประดับฝาผนัง"
ชีวิตส่วนตัวของท้าวทองกีบม้า และฟอลคอน จึงหนีไม่พ้นบรรยากาศแบบญี่ปุ่น ตามรสนิยม และพื้นเพของท้าวทองกีบม้า
ทางด้านอาหารการกินค่อนข้างแน่ชัดว่าท้าวทองกีบม้าไม่โปรดอาหารพื้นเมืองสยาม โดยดูได้จากบันทึกของบาทหลวงเดอ แบส ขณะจะถูกนำตัวไปอยู่ในวังของออกหลวงสรศักดิ์ ท้าวทองกีบม้าใช้อุบายหลบหลีกจนได้ โดยอ้างว่า "อาหารการกิน ณ ที่นั้นไม่ต้องด้วยรสนิยมของเธอ เธอไม่อาจบริโภคอาหารที่เขาจัดหามาให้ได้ เพราะท้องยังไม่เคยกับอาหารชาวสยาม..." อุบายเช่นนี้ควรจะต้องมีข้อเท็จจริงอยู่บ้าง จึงทำให้ผู้อื่นเชื่อถือได้ โดยเฉพาะคนฉลาดอย่างออกหลวงสรศักดิ์ซึ่งภายหลังคือ "พระเจ้าเสือ"
รสนิยมด้านอาหารนี้ยังสะท้อนไปถึงคราวที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงจัดเลี้ยงรับรองคณะราชทูต เราไม่อาจทราบได้ว่างานวันนั้น ท้าวทองกีบม้ามีส่วนมากน้อยแค่ไหน แต่เป็นที่แน่นอนว่า ตลอดเวลาที่คณะทูตพำนักอยู่ในสยามนั้น ฟอลคอนมีหน้าที่หลักในการรับรองดูแลให้ได้รับความสะดวกสบายกับคณะราชทูต
ระหว่างการรับรองนั้น ฟอลคอนได้ส่งของกำนัลไปให้คณะทูตอยู่ตลอดเวลา "ม.ก็องสตังซ์จัดส่งเหล้าองุ่น กับเบียร์ญี่ปุ่นมาให้"
และจากบันทึกของบาทหลวงเดอ ชัวซีย์ ก็อาจจะทำให้เห็นภาพคร่าวๆ ว่า ใครน่าจะเป็นแม่งานในครัว เตรียมงานเลี้ยงราชทูต ดังนี้
"มีการชักชวนกันดื่มถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ สตูว์ญี่ปุ่นนั้นดี แต่ของสยามนั้นยังดีกว่า ส่วนของปอร์ตุเกสนั้นไม่เป็นรสเป็นชาติ มีเหล้าองุ่นสเปน, เปอร์เซีย, ฝรั่งเศส, เบียร์อังกฤษ ม.ก็องสตังซ์ทำโดยให้เกียรติเราเต็มที่ คนๆ นี้ทำอะไรดีไปเสียทั้งนั้น..."
จากบันทึกนี้ก็สามารถยืนยันได้ว่า ฟอลคอนเป็นแม่งานในการจัดเลี้ยง เป็นไปได้หรือไม่ที่ท้าวทองกีบม้าจะเป็นคนทำสตูญี่ปุ่นรสดีชามนั้น

ทางด้านฝีมือการทำอาหารของท้าวทองกีบม้านั้น จัดได้ว่ามีฝีมือเป็นที่ติดอกติดใจหลายต่อหลายคน หนึ่งในนั้นคือ ออกพระศักดิสงคราม (ฟอร์บัง) ถึงกับติดใจรสมือของท้าวทองกีบม้าเป็นพิเศษ ดังที่ปรากฏในบันทึกว่า "ความจริงวิชเยนทร์ซึ่งโดยเสด็จพระราชดำเนินเสมอ จัดหาอาหารที่อร่อยไปแบ่งให้ข้าพเจ้ารับประทานด้วย แต่ถ้าเขามีราชการที่บังคับให้ทำอยู่ที่เคหสถานของเขา ข้าพเจ้าต้องฝืนใจรับประทานของที่โปรดเกล้าฯ ให้ห้องเครื่องต้นส่งออกมา"
สิ่งต่างๆ เหล่านี้แม้จะไม่ได้บอกกับเราโดยตรงว่า แต่ละวันฟอลคอน และท้าวทองกีบม้า "กินข้าวกับอะไร" แต่ก็พอให้สันนิษฐานได้ว่า อาหารญี่ปุ่นคงจะมีขึ้นโต๊ะอยู่เสมอตามที่ท้าวทองกีบม้าคุ้นเคย บ้านของฟอลคอนมีแขกไปมาหาสู่เสมอ และต้องจัดเลี้ยงบนโต๊ะฝรั่ง จึงต้องมีอาหารโปรตุเกส และอาหารฝรั่งขึ้นโต๊ะเป็นประจำ สลับกับอาหารพื้นเมืองชาวสยามบ้าง ยกเว้นอาหารมาตรฐานคือ "น้ำพริก" ที่ท้าวทองกีบม้า และฝรั่งมียศอย่างฟอลคอนคงจะไม่โปรดปราน

ขนมหวานท้าวทองกีบม้า คิดเองในสยาม หรือสูตรจากญี่ปุ่น
ท้าวทองกีบม้าต้องตกอับอยู่ช่วงหนึ่ง จนถึงปี ๒๒๓๓ ได้รับอนุญาตให้มาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านโปรตุเกส และถูกบังคับให้ทำอาหารหวานส่งเข้าวังตามอัตราที่กำหนด เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในบันทึกด้วยเนื้อหาที่แตกต่างกันในรายละเอียด
ตามหลักฐานของบาทหลวงโอมองต์ (Fr. Aumont) บันทึกไว้ว่ามาดามฟอลคอน ได้รับแต่งตั้งให้เป็นชาววิเสทประจำห้องเครื่องในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ
ส่วนแคมเฟอร์ (Kampfer) ซึ่งมาถึงกรุงศรีอยุธยาในปี ๒๒๖๒ บันทึกว่า เห็นท้าวทองกีบม้ากับลูกชาย เที่ยวเดินขอทานตามบ้านพวกเข้ารีต และชาวต่างชาติ ซึ่งบันทึกข้อนี้ยังเป็นที่น่าสงสัยอยู่ เพราะชาวคาทอลิก และญาติพี่น้องของท้าวทองกีบม้าในหมู่บ้านโปรตุเกส ไม่น่าจะทอดทิ้งกันถึงเพียงนี้
อีกบันทึกของอเล็กซานเดอร์ แฮมมิลตัน อ้างว่าได้พบกับมาดามฟอลคอนในปี ๒๒๖๒ ขณะนั้นได้รับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการห้องเครื่องต้นแผนกหวาน มีผู้คนรักใคร่นับถือ ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกของมองซิเออร์โชมองต์ อ้างว่ามาดามก็องสตังซ์ เป็นผู้ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหวาน เป็นหัวหน้าเก็บพระภูษา และฉลองพระองค์ และยังเป็นผู้เก็บผลไม้เสวยด้วย
ในจดหมายของท้าวทองกีบม้าที่เขียนถึงบิชอปฝรั่งเศสในประเทศจีน กล่าวไว้ว่า
"...ต้องทำงานถวายตรากตรำด้วยความเหนื่อยยาก และระกำช้ำใจ มืดมนธ์อัธการไปด้วยความทุกข์ยาก ตั้งหน้าแต่จะคอยว่าเมื่อใดพระเจ้าจะโปรดให้ได้รับแสงสว่าง ตอนกลางคืนนางก็ไม่มีที่นอนที่พิเศษอย่างใด คงแอบนอนพักที่มุมห้องเครื่องต้น บนดินที่ชื้น ต้องคอยระวังรักษาเฝ้าห้องเครื่องนั้น"

แม้ประวัติช่วงนี้ของท้าวทองกีบม้าจะไม่ตรงกันนัก แต่ก็ยอมรับได้ว่า ท้าวทองกีบม้าเคยไปทำงานในวังจริง และเป็นคนทำขนมหวานตำรับโปรตุเกส เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง จนเป็นสูตรให้คนทำสืบเนื่องต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ปัญหาก็คือ ท้าวทองกีบม้าคิดสูตรทองหยิบ ฝอยทอง ด้วยตัวเอง โดยเอาวัตถุดิบพื้นเมืองสยามมาดัดแปลงให้เข้ากับตำรับโปรตุเกส หรือมีคนสอนให้ทำ?
คนที่ตั้งข้อสังเกตในเรื่องนี้เป็นชาวญี่ปุ่น คือ เรโกะ ฮาดะ (Reiko Hada) ได้เขียนบทความชื่อ Madame Marie Guimard Under the Ayudhya Dynasty of the Seventeenth Century ลงในวารสารสยามสมาคม (J.S.S., V.80. Part1, 1992)
ฮาดะได้เสนอไว้ว่า อันที่จริงท้าวทองกีบม้าได้สูตร หรือถูกสอนให้ทำขนมลักษณะนี้มาจากแม่ ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น เนื่องจากเมื่อครั้งที่ชาวโปรตุเกสเข้าไปในญี่ปุ่นมากขึ้น ก็ได้สอนให้ชาวญี่ปุ่นหัดทำขนมโปรตุเกส ซึ่งปัจจุบันขนมญี่ปุ่นหลายชนิดก็เป็นตำรับโปรตุเกส ขนมญี่ปุ่นบางอย่างมีลักษณะเหมือนฝอยทอง ยังคงทำกันอยู่ที่เกียวโต และคิวชู ในประเทศญี่ปุ่นปัจจุบัน
ขนมญี่ปุ่นที่มีลักษณะเหมือนฝอยทองตามความเห็นของฮาดะ น่าจะหมายถึงขนมที่มีชื่อว่า เครันโชเมน ซึ่งมีหน้าตาและสีสันคล้ายกับฝอยทองอย่างมาก
หากเป็นเช่นนี้จริง ก็เท่ากับว่า ขนมไทยสูตรท้าวทองกีบม้า ก็คือสูตรขนมญี่ปุ่นตำรับโปรตุเกส ที่ญาติพี่น้องของท้าวทองกีบม้าถ่ายทอดสืบต่อกันมา ไม่ใช่มีถิ่นกำเนิดในสยาม!

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

10 อันดับเพลงนมัสการพระเจ้ายอดเยี่ยม

ในฐานะที่คนเขียนก็เป็นคริสเตียนคนหนึ่ง จึงอยากจะนำเสนอ 10 อันดับเพลงนมัสการพระเจ้ายอดเยี่ยม ที่ได้รับความนิยมสูงจากผู้ฟัง ที่สำรวจความนิยมโดยนิตยสาร Christianity Today นะคะ



การนมัสการนำมาซึ่งการทรงสถิตย์ของพระเจ้า พระองค์ทรงเปลี่ยนเศร้าโศก ให้เป็นความชื่นชมยินดี และประทานความหวังใจให้กับเรา 10 อันดับเพลงนมัสการยอดเยี่ยมต่อไปนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่เราคุ้นหูและร้องถวายพระเจ้ากันอยู่แล้ว และหลายๆเพลงก็หนุนให้คนเขียนกลับใจ สารภาพบาปกับพระเจ้าก็หลายรอบล่ะ พระเจ้าเป็นความรักและมีพระคุณต่อเราจริงๆ ^^

1. Amazing Grace (พระคุณพระเจ้า ) แต่งโดย จอห์น นิวตัน

คำนำของหนังสือ John Newton and the English Evangelical Tradition เขียนโดย ดี. บรูซ ไฮนด์มาร์ช กล่าวถึงเพลง Amazing Grace ไว้น่าสนใจ ท่ามกลางความโศกเศร้าของครอบครัวที่สูญเสียพ่อแม่ ญาติพี่น้อง คนรัก มิตรสหาย จากอุบัติเหตุสายการบิน สวิสส์แอร์ ตกลงในมหาสมุทรแอตแลนติก นอกชายฝั่งเมืองโนว่า สโคเทีย ประเทศแคนาดา ปี 1998 ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือ 229 คน เสียชีวิตหมดทั้งลำ

บรรดาครอบครัวที่สูญเสีย ยืนรวมกันที่หมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Peggy’s Cove สายตาของพวกเขามองข้ามโขดหิน ไปยังมหาสมุทรเบื้องหน้าที่ที่บรรดาคนรักของพวกเขาได้จากไป ท่ามกลางความเศร้านั้น พวกเขาพร้อมใจกันร้องเพลง Amazing Grace เสียงเพลงดังไปทั่วชายฝั่งแห่งนั้น ยามชายฝั่งรวมทั้งหน่วยกู้ภัย ต้องหยุดทำงาน ยืนสงบนิ่งจนกระทั่งเพลงนี้ร้องจบลง ถ้าจอห์น นิวตัน ยังอยู่ เขาคงมาร่วมร้องเพลงนี้ด้วย

จอห์น นิวตัน (ค.ศ.1725-1807) ชาวอังกฤษ อดีตผู้คุมเรือขนทาสจากอัฟริกา ไปขายที่อเมริกาในศตวรรษที่ 18 คืนหนึ่งบนเรือในปี 1747 ท้องฟ้าปั่นป่วนจากพายุ นิวตันอ่านหนังสือเรื่อง The Imitation of Christ เขียนโดย โธมัส เอ เคมพิส กับวลีที่ว่า “ความไม่แน่นอนในชีวิตที่ดำเนินอยู่”ตามด้วยพระธรรมสุภาษิต “เพราะเราได้เรียกแล้ว และเจ้าปฎิเสธ…ฝ่ายเราจะหัวเราะเย้ยความหายนะของเจ้า ….”ทำให้นิวตันกลับใจ ยอมสยบกับพระเจ้า

อีกหลายปีต่อมา นิวตันทิ้งทะเลไว้เบื้องหลัง หันมารับใช้พระเจ้าแทน เพลง Amazing Graceเป็น 1 ใน 281 เพลงนมัสการที่นิวตันเขียนขึ้นมาเนื้อหาของบทเพลงส่วนหนึ่งมาจากชีวิตของนิวตันและมีพื้นฐานจากเพลงสดุดีโมทนาของดาวิด ใน 1 พงศาวดาร 16, 17

Leann Rimes – Amazing Grace


2. How Great Thou Art ( พระเจ้ายิ่งใหญ่ ) แต่งโดย คาร์ล โบเบิร์ก

ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยสด จู่ๆ พายุฝนก็เกิดขึ้นหลังจากพายุผ่านไป ทุกอย่างกลับมาสวยสดเหมือนเดิม นี่เป็นแรงบันดาลใจให้ คาร์ล โบเบิร์ก (ค.ศ.1859 – 1940) ศิษยาภิบาลชาวสวีเดน แต่งเพลงนี้ในปี 1886 โดยแต่งเป็นโคลงชื่อ “O Great God”

ต่อมาเพลงนี้ถูกแปลเป็นภาษาเยอรมัน รัสเซีย ตามลำดับ บาทหลวง สจ๊วร์ต เค.ฮิน, มิชชั่นนารีชาวอังกฤษในยูเครน ชอบร้องเพลงนี้ในภาษารัสเซีย ร่วมกับภรรยาของเขา ในที่สุดท่านก็แปลเพลงนี้เป็นภาษาอังกฤษและแต่งเพิ่มในปี 1948
เพลงนี้ได้รับความนิยมในอเมริกาเหนือ ในคอนเสิร์ต Billy Graham crusades ช่วงทศวรรษที่ 50 จอร์จ เบเวอรี่ เชีย จำได้ว่าเขากับวงประสานเสียงร้องเพลงนี้ 99 ครั้ง ในการประชุมที่นิวยอร์ค เมื่อปี 1957

Carrie Underwood – How Great Thou Art


3. Because He Lives ( เพราะพระองค์ทรงอยู่ ) แต่งโดย วิลเลี่ยม เจ. ไกเธอร์

ในปี 1969 วิลเลี่ยม (หรือ บิล) และกลอเรีย ไกเธอร์ ภรรยา เพิ่งจะผ่านพ้นความเศร้าที่สูญเสียลูกสองคนแรกไป และรอคอยการคลอดลูกคนที่ 3 ของพวกเขา แต่การคลอดในครั้งนี้ดูอะไรไม่พร้อมไปเสียหมด กลอเรียสุขภาพไม่ดีจากการคลอดลูกคนก่อน นอกจากนั้น บิลยังมีอาการติดเชื้อ…ปัญหาสุขภาพไม่ใช่เรื่องเดียวที่พวกเขาเผชิญอยู่ การหย่าร้างของคนในครอบครัว ความร้าวฉาวกับเพื่อนสนิท รบกวนจิตใจพวกเขาอย่างหนัก ทั้งคู่จมอยู่ในความทุกข์เศร้า เพื่อนสนิทคนหนึ่งอธิษฐานขอความเชื่อให้กับพวกเขา

คำอธิษฐานของเพื่อนสนิทคนนั้น ทำให้บิลและกลอเรียระลึกถึง พระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยในชีวิต การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ ทำให้พวกเขามั่นใจและกล้าฝากอนาคตไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ มิถุนายน ปี 1970 เบนจามิน ทารกเพศชายสุขภาพแข็งแรง ได้ถือกำเนิดขึ้น ทำให้พวกเขาเกิดแรงบันดาลใจเขียนเพลง Beacause He Lives ขึ้นมา

Because He lives I can face tomorrow


4. Great Is Thy Faithfulness แต่งโดย โธมัส โอบาเดีย คิสโฮล์ม
โธมัส โอบาเดีย คิสโฮล์ม (ค.ศ.1866 -1960) ตัวแทนขายประกันชาวอินเดียนน่าฝึกปรือการเขียนจากงานหนังสือพิมพ์ ในเมืองแฟรงคลิน รัฐเคนทัคกี้ก่อนจะถวายตัวรับใช้พระเจ้าที่โบสถ์ Pentecostal Herald นิกาย Methodismต่อมาโธมัสลาออก เพราะสุขภาพไม่ดี และเริ่มงานขายประกันในปี 1909 แต่ก็ยังแต่งกลอนและเพลงต่อไป เขาแต่งเพลง Great is Thy Faithfulness ในปี 1923

“Great Is Thy Faithfulness” By Wes Hampton"


5. The Old Rugged Cross (ไม้กางเขนโบราณ) แต่งโดย จอร์จ เบนนาร์ด

จอร์จ เบนนาร์ด (ค.ศ. 1873 -1958) เกิดที่เมืองยังสทาวน์ รัฐโอไฮโอ เข้าร่วมกับกลุ่ม The Salvation Army ตั้งแต่เป็นวัยรุ่นหลังพ่อเขาเสียชีวิต โดยรับใช้อยู่ที่ Methodist Episcopal Church และนำการฟื้นฟูมาสู่มิชิแกนและนิวยอร์ก ระหว่างอยู่ที่เมืองอัลไบออน รัฐมิชิแกน เบนนาร์ดได้รับการดลใจให้ แต่งทำนองเพลง The Old Rugged Cross แล้วแต่งเนื้อทีหลัง เขารู้ว่าแต่งเพลงนี้เสร็จแล้ว เมื่อเนื้อเพลงแทรกซึมไปทุกอณูของจิตใจเกิดความอิ่มเอิบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเพลงนี้ถูกนำมาเล่นครั้งแรกในการประชุมฟื้นฟู ที่เมืองโพคากอน รัฐมิชิแกน เมื่อวันที่ 7 กรกฏาคม 1913 และกลายเป็นเพลงนมัสการที่ได้รับความนิยมสูงในอเมริกา

Old Rugged Cross


เดี๋ยวจะกลับมาต่ออีก 5 บทเพลง ในตอนบ่ายๆนะคะ ^^

ที่มา : http://lukeworship.wordpress.com/2010/06/15/10-%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%99%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%aa%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80/

ครบรอบ 115 ปี แห่งการค้นพบรังสีเอกซ์



พอดีได้เข้าเว็บ Google แล้วเห็น Doodle ของการครบรอบ 115 ปี แห่งการค้นพบรังสีเอกซ์ จึงอยากจะเขียนเรื่องนี้หน่อยนะคะ หลังจากไร้สาระมานานสองนาน 555+


An X-ray picture (radiograph), taken by Wilhelm Röntgen, of Albert von Kölliker's hand.

รังสีเอกซ์ (X-ray หรือ Röntgen ray) เป็นรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีความยาวคลื่นในช่วง 10 ถึง 0.01 นาโนเมตร ตรงกับความถี่ในช่วง 30 ถึง 30,000 พีต้าเฮิตซ์ (1015 เฮิตซ์) ในเบื้องต้นมีการใช้ช้รังสีเอกซ์สำหรับถ่ายภาพเพื่อการวินิจฉัยโรค และงานผลึกศาสตร์ (crystallography) รังสีเอกซ์เป็นการแผ่รังสีแบบแตกตัวเป็นไอออน และมีอันตรายต่อมนุษย์ รังสีเอกซ์ค้นพบโดยวิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน เมื่อ ค.ศ. 1895


ทฤษฎีอิเล็กตรอนสมัยปัจจุบัน อธิบายถึงการเกิดรังสีเอกซ์ว่า ธาตุประกอบด้วยอะตอมจำนวนมากในอะตอมแต่ละตัวมีนิวเคลียสเป็นใจกลาง และมีอิเล็กตรอนวิ่งวนเป็นชั้นๆ ธาตุเบาจะมีอิเล็กตรอนวิ่งวนอยู่น้อยชั้น และธาตุหนักจะมีอิเล็กตรอนวิ่งวนอยู่หลายชั้น เมื่ออะตอมธาตุหนักถูกยิงด้วยกระแสอิเล็กตรอน จะทำให้อิเล็กตรอนที่อยู่ชั้นในถูกชนกระเด็นออกมาวิ่งวนอยู่รอบนอกซึ่งมีภาวะไม่เสถียรและจะหลุดตกไปวิ่งวนอยู่ชั้นในอีก พร้อมกับปล่อยพลังงานออกในรูปรังสี ถ้าอิเล็กตรอนที่ยิงเข้าไปมีพลังงานมาก ก็จะเข้าไปชนอิเล็กตรอนในชั้นลึกๆ ทำให้ได้รังสีที่มีพลังงานมาก เรียกว่า ฮาร์ดเอกซเรย์ (hard x-ray) ถ้าอิเล็กตรอนที่ใช้ยิงมีพลังงานน้อยเข้าไปได้ไม่ลึกนัก จะให้รังสีที่เรียกว่า ซอฟต์เอกซเรย์ (soft x-ray)

กระบวนการเกิดหรือการผลิตรังสีเอกซ์ทั้งโดยฝีมือมนุษย์และในธรรมชาติ มีอยู่ 2 วิธีใหญ่ๆ คือ วิธีที่ 1 เป็นวิธีผลิตรังสีเอกซ์โดยการยิงลำอนุภาคอิเล็กตรอนใส่แผ่นโลหะ เช่น ทังสเตน อิเล็กตรอน ที่เป็นกระสุนจะวิงไปชนอิเล็กตรอนของอะตอมโลหะที่เป็นเป้า ทำให้อิเล็กตรอนที่ถูกชนเปลี่ยนตำแหน่ง การโคจรรอบนิวเคลียส เกิดตำแหน่งที่ว่างของอิเล็กตรอนในวงโคจรรอบนิวเคลียสเดิม อิเล็กตรอนตัวอื่นที่ อยู่ในตำแหน่งวงโคจรมีพลังงานสูงกว่า จะกระโดดเข้าไปแทนที่ของอิเล็กตรอนเดิมแล้วปล่อยพลังงานออก มาในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคือ รังสีเอกซ์ เครื่องฉายรังสีเอกซ์ที่ใช้งานกันทั่วไปในโรงพยาบาลและในโรงงานอุตสาหกรรม ล้วนเป็นเครื่องผลิต รังสีเอกซ์จากวิธีการนี้ วิธีที่ 2 เป็นวิธีผลิต หรือ กำเนิดรังสีเอกซ์จากการเคลื่อนที่ของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า เช่น อิเล็กตรอน โปรตอนหรืออะตอม อย่างมีความเร่ง คือ อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเหล่านี้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงขึ้นแล้วก็เป็น ธรรมชาติของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเหล่านี้เอง ที่ต้องปล่อยพลังงานออกมาในรูปของ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อย่างที่ไม่มีอะไรไปห้ามได้ ซึ่งถ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ถูกปล่อยออกมามีความถี่สูงพอก็จะเป็นรังสีเอกซ์ กำเนิดรังสีเอกซ์วิธีนี้เป็นวิธีที่นักวิทยาศาสตร์ที่นิยมใช้ในการผลิตรังสีเอกซ์ในห้องทดลองวิทยาศาสตร์

ประวัติศาสตร์ในการศึกษารังสีเอกซ์Johann Hittorf (1824 - 1914) นักฟิสิกส์ที่ทำการศึกษารังสีพลังงานสูงที่ปลดปล่อยออกมาจากขั้วลบในท่อเอกซเรย์ รังสีนี้มีความเรืองแสงเมื่อกระทบหลอดแก้วของท่อเอกซเรย์ ในปี 1876 Eugen Goldstein ได้เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า รังสีแคโทด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันว่าคือ กระแสอิเล็กตรอน ต่อมา นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ William Crookes ได้ทำการศึกษาผลของกระแสอิเล็กตรอนในความดันที่ต่ำ และก็ได้เรียกสิ่งที่เขาค้นพบว่า Crookes tube ซึ่งเป็นท่อแก้วสุญญากาศ มีขั้วอิเล็กโทรดแรงเคลื่อนไฟฟ้าสูง โดยเขาได้ทดลองนำแผ่นถ่ายภาพไว้ข้างท่อแก้ว พบว่าเกิดรอยดำบนแผ่น แต่ Crookes ยังไม่ได้อธิบายปรากฏการณ์นี้

ในเดือนเมษายนปี 1887 Nikola Tesla ได้เริ่มทำการศึกษารังสีเอกซ์โดยใช้ท่อสุญญากาศแรงเคลื่อนไฟฟ้าสูงที่เขาคิดค้นขึ้นเอง (เช่นเดียวกับ Crookes tube) จากวารสารตีพิมพ์ต่าง ๆ ได้บ่งชี้ว่า เขาได้เป็นผู้พัฒนาท่อเอกซเรย์ขึ้น ซึ่งแตกต่างจากท่อเอกซเรย์อื่น ๆ ที่มีขั้วอิเล็กโทรดเพียงด้านเดียว

โดยหลักการของ Tesla ที่ได้พัฒนาท่อเอกซเรย์ขึ้นมา ในปัจจุบันเรียกว่ากระบวนการ Bremsstrahlung ซึ่งเป็นกระบวนการที่รังสีเอกซเรย์ที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นเกิดจากการเร่งประจุเช่นอิเล็กตรอนในวิ่งผ่านสสารบางชนิด ในปี 1892 Tesla ได้ทำเสนอผลการทดลองซึ่งเขายังเรียกเพียงว่าเป็นพลังงานจากการแผ่รังสี ในตอนนั้นเขายังไม่ได้เสนอผลการทดลองให้เป็นที่กว้างขวางมากนัก แต่ผลจากการทดลองของเขาส่งผลต่อวงการวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์ในปัจจุบันอย่างมาก

ในปี 1892 Heinrich Hertz ได้ทำการทดลองกับรังสีแคโทดรวมกับแผ่นโลหะบาง (เช่น อะลูมิเนียม) ต่อมา Philipp Lenard นักศึกษาของ Hertz ได้ทำการวิจัยปรากฏการณ์นี เขาได้พัฒนาท่อแคโทดขึ้นใหม่และใช้วัสดุหลายชนิดในการเป็นตัวกลาง เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่า นั่นคือการสร้างรังสีเอกซ์ ต่อมา Hermann von Helmholtz ได้ทำการศึกษาสมการทางคณิตศาสตร์ของรังสีเอกซ์ เขาได้ตั้งสมมุติฐานก่อนที่ R?ntgen จะค้นพบและพิสูจน์ได้ ซึ่งต่อมาเป็นรากฐานของทฤษฎีทางคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 1895 Wilhelm Conrad R?ntgen นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ได้เริ่มทำการศึกษาและวิจัยรังสีเอกซ์ขณะทำการทดลองกับท่อสุญญากาศ แล้วในวันที่ 28 ธันวาคม 1895 เขาได้เขียนรายงานเรื่อง On a new kind of ray: A preliminary communication ซึ่งรายงานเล่มนี้ได้พูดถึง รังสี x ซึ่งได้ระบุไว้ว่าเป็นรังสีที่ยังระบุประเภทไม่ได้ (จึงตั้งชื่อไว้ก่อนว่า รังสี x) ส่งผลให้ชื่อรังสีเอกซ์ถูกใช้กันมานิยมมากกว่าชื่อที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งให้ว่า รังสีเรินต์เก้น (R?ntgen rays) และทำให้ R?ntgen ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จากการค้นพบและพิสูจน์ปรากฏการณ์นี้

ในการทดลองของ R?ntgen ได้เริ่มจากการใช้เครื่องสร้างรังสีแคโทดผ่านท่อแก้วสุญญากาศ เขาได้พบว่ามีแสงสีเขียวอ่อนวิ่งปะทะกับผนังท่อ เขาได้พบว่า แสงจากเครื่องสร้างรังสีแคโทดนี้ได้ทะลุผ่านวัสดุต่าง ๆ (เช่น กระดาษ ไม้ หนังสือ) เขาได้เริ่มวางวัตถุอื่น ๆ หลายประเภทไว้หน้าเครื่องนี้ และทำให้เขาได้พบว่า เขาสามารถถ่ายเห็นโครงร่างของกระดูกมือของเขาได้บนผนัง สองเดือนต่อมาเขาเริ่มทำการค้นคว้า และได้ทำการพิสูจน์และตีพิมพ์ในปี 1896 ในรายงานชื่อ On a New Kind of Radiation

ย้อนกลับไปในปี 1985 Thomas Edison ก็ได้ทำการศึกษาผลของวัสดุหลายประเภทที่เรืองแสงได้ด้วยรังสีเอกซ์ และได้พบ calcium tungstate ซึ่งเป็นวัสดุที่ดีที่สุด ในเดือนมีนาคม ปี 1896 ได้ริเริ่มพัฒนากล้องตรวจอวัยวะภายในด้วยเงารังสีเอกซ์บนจอเรืองแสง (fluoroscope) ซึ่งมีใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน แม้ว่า Edison จะหยุดการวิจัยเกี่ยวกับรังสีเอกซ์ในปี 1903 หลังจากการจากไปของ Clarence Madison Dally ซึ่งเป็นช่างเป่าแก้วของเขา Dally ในตอนนั้นมีนิสัยชอบทดสอบท่อรังสีเอกซ์ด้วยมือเปล่า เขาได้เริ่มเป็นมะเร็งและจำเป็นต้องตัดมือทั้งสองข้างก่อนที่จะเสียชีวิต

ในปี 1906 Charles Barkla ได้ค้นพบว่า รังสีเอกซ์สามารถถูกกระเจิงได้ด้วยก๊าซ และได้บอกว่าวัตถุใดที่มีคุณสมบัติเช่นนี้จะมีลักษณะเช่นเดียวกับรังสีเอกซ์ (characteristic x-ray) เขาได้รับรางวัล Nobel prize ในปี 1917 จากการค้นพบสิ่งนี้

ในปี 1912 Max von Laue, Paul Knipping and Walter Friedrich ได้ทำการค้นคว้าการเบี่ยงเบนของรังสีเอกซ์ด้วยคริสตัล การทดลองนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของสาขา X-ray crystallography ที่มีนักฟิสิกส์ Paul Peter Ewald, William Henry Bragg and William Lawrence Bragg ได้วางรากฐานและพัฒนาต่อมา

ในการประยุกต์ใช้รังสีเอกซ์ทางการแพทย์นั้น (radiation therapy) ได้เริ่มต้นโดย Major John Hall-Edwards นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ในปี 1908 เขาจำเป็นต้องเสียแขนซ้ายด้วยผลของการแผ่รังสีเอกซ์ และในปี 1950 ได้กล้องถ่ายภาพเอกซเรย์ (x-ray microscope) ได้พัฒนาขึ้นสำเร็จ

ในปี 1980 เลเซอร์รังสีเอกซ์ (x-ray laser) ถูกนำมาใช้ในส่วนหนึ่งของแผนการป้องกันของรีแกน (Reagan administration's Strategic Defense Initiative) แต่ก็ไม่ได้ผลดีนัก

ในปี 1990 ห้องแลบเอกซเรย์จันทรา (Chandra X-ray Observatory) ได้เริ่มใช้งาน และได้เริ่มการสร้างรังสีเอกซ์อย่างต่อเนื่องเกิดขึ้น นำไปสู่การค้นคว้าวิจัยทางดาราศาสตร์ซึ่งเปรียบเทียบกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น blackhole การปะทะของกาแลกซี่ nova รวมถึงดาวนิวตรอนหรือการระเบิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเอกภพ

การประยุกต์ใช้ทางการแพทย์
ตั้งแต่การค้นพบของ Roentgen ว่ารังสีเอกซ์สามารถบอกรูปร่างของกระดูกได้ รังสีเอกซ์ได้ถูกพัฒนาเพื่อนำมาใช้ในการถ่ายภาพในการแพทย์ นำไปสู่สาขาที่เรียกว่า รังสีวิทยา โดยนักรังสีวิทยาได้ใช้ ภาพถ่าย (radiography) ที่ได้มาใช้ในการช่วยการวินิจฉัยโรคนั่นเอง

รังสีเอกซ์มักถูกนำมาใช้ในการตรวจหาสภาพทางพยาธิวิทยาของกระดูก แต่ก็สามารถหาความผิดปกติของบางโรคที่เป็นที่เนื้อเยื่อทั่วไปได้ ตัวอย่างที่พบเห็นได้ทั่วไปเช่นการเอกซเรย์ปอด ซึ่งสามารถบอกถึงความผิดปกติได้หลายโรค เช่น โรคปอดบวม (pneumonia) โรคมะเร็งปอด (lung cancer) หรือน้ำท่วมปอด (pulmonary edema) รวมถึงการเอกซเรย์ช่องท้อง เช่นการตรวจภาวะอุดตันในลำไส้เล็ก (ileus) ภาวะลมหรือของเหลวคั่งในช่องท้อง ในบางครั้งยังใช้ในการตรวจหานิ่วในถุงน้ำดี หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้ รวมทั้งในบางกรณีสามารถใช้ในการถ่ายภาพเนื้อเยื่อบางชนิด เช่น สมองและกล้ามเนื้อได้ แต่นับแต่ในปี 2005 รังสีเอกซ์ถูกขึ้นบัญชีในรัฐบาลสหรัฐอเมริกาว่า เป็นสารก่อมะเร็ง การถ่ายภาพเนื้อเยื่อส่วนใหญ่จึงถูกพัฒนาโดยใช้เทคนิด CAT หรือ CT scanning (computed axial tomography) หรือใช้เทคนิค MRI (magnetic resonance imaging) หรือ ultrasound ทดแทน

ปัจจุบัน การรักษาโรคมะเร็งส่วนใหญ่ได้มีการนำรังสีมาช่วยในการรักษาโรค (radiotherapy) และได้มีการรักษาพยาธิสภาพต่าง ๆ เช่น การรักษาแบบ real-time ในการผ่าตัดถุงน้ำดี การขยายหลอดเลือด (angioplasty) หรือการกลืนสาร barium enema เพื่อตรวจสภาพลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ โดยการใช้ fluoroscopy

การประยุกต์ใช้ในด้านอื่น
รังสีเอกซ์ได้ถูกพัฒนานำไปใช้ในหลายสาขา เช่น การวิเคราะห์ลักษณะของอะตอมและการผลิตโดยอาศัยการเบี่ยงเบนของรังสีเอกซ์ (x-ray crystallography) การวิจัยทางดาราศาสตร์ที่อาศัยการปลดปล่อยรังสีเอกซ์ที่มาจากวัตถุในวัตถุ (x-ray astronomy) การถ่ายภาพและผลิตภาพในขนาดเล็ก (x-ray microscopic analysis) รวมทั้งการตรวจหารอยร้าวขนาดเล็กในโลหะ การติดตามผลของตัวอย่างในการวิจัยโดยอาศัยคุณสมบัติของรังสีเอกซ์ (x-ray fluorescence) รวมถึงใช้ตรวจหาอาวุธปืนหรือระเบิดในกระเป๋าเดินทาง


บทความนี้เป็นความรู้ที่น่าสนใจมากเลยทีเดียวค่ะ ต้องยกเครดิตให้กับ

www.google.com และ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B9%8C นะคะ ^^