วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

"เจ้าคุณจอมมารดาแพ" ที่รักยิ่งจอมกษัตริย์

วันนี้ขอเปิด ประเภทของบทความใหม่นะคะ นั่นก็คือเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นอีกอย่างที่คนเขียนชอบมากกกกกกกก โดยเฉพาะอะไรที่เกี่ยวกับในรั้วในวังสมัยก่อน บทความนี้จึงขอนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ "เจ้าคุณพระประยูรวงศ์" (เจ้าคุณจอมมารดาแพ สกุลเดิม บุนนาค) ซึ่งเป็นรักครั้งแรกของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่พระองค์ท่านยังทรงพระอิสริยยศเป็น "สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิจประชานาถ" เลยนะคะ ไปรับทราบประวัติของท่านกันเลยดีกว่าค่ะ ^^



เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ (แพ) กำเนิดเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2397 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นธิดาของเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์(วร บุนนาค)กับท่านผู้หญิงอิ่ม สุรวงศ์ไวยวัฒน์ (ท่านเจ้าพระยานั้นมีเอกภริยา 2 ท่านในเวลาเดียวกันคือ ท่านผู้หญิงอ่วม พี่สาว และท่านผู้หญิงอิ่ม น้องสาว ท่านผู้หญิงทั้ง 2 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน) พี่น้องร่วมมารดาของท่าน มีดังนี้

คุณหญิงศรีสรราชภักดี ( เล็ก โกมารกุล ณ นคร )
คุณฉาง บุนนาค
เจ้าคุณพระประยูรวงศ์
หลวงจักรยานานุพิจารณ์ ( เหมา บุนนาค )
จ่ายวดยศสถิต ( หมิว บุนนาค )
เจ้าจอมมารดาโหมด ปจ.ในรัชกาลที่ 5
หม่อมแม้น ภาณุพันธ์ ในสมเด็จฯเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช (ต้นราชสกุล ภาณุพันธุ์)
คุณเมี้ยน บุนนาค
คุณมิด บุนนาค

เจ้าคุณจอมมารดาแพ เป็นเจ้าคุณจอมมารดาพระสนมเอกผู้ใหญ่ หัวหน้าพระสนมทั้งปวงในรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 6 ได้รับการสถาปนาเกียติยศขึ้นเป็นเจ้าคุณชั้นพิเศษ โปรดเกล้าฯให้ออกนามว่า “เจ้าคุณพระประยูรวงศ์”

เจ้าคุณพระประยูรวงศ์เกิดในวงศ์ราชินิกุลสาย “บุนนาค” ซึ่งเจ้าคุณพระอัยยิกานวล กนิษฐภคินี ในสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี กับเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค ต้นสกุลบุนนาค) ซึ่งเป็นบุตรเจ้าพระยามหาเสนา(เสน) ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นตระกูล สืบสายลงมาทางสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง)พระประยูรวงศ์ได้เป็นพระสนมเอก และเป็นผู้เดียวที่ได้พระราชทานเครื่องยศพระสนมเอกตามแบบรัชกาลที่ 4 และมีพระราชประสงค์จะทรงยกย่องเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ให้ยิ่งกว่าคนอื่น จึงโปรดให้เปลี่ยนเครื่องในพานทองเครื่องยศ เป็นลงยาราชาวดี(เดิมเครื่องยศพระสนมเอกเป็นพานทองมีเครื่องในทั้งหมดล้วนเป็นทองคำเกลี้ยง ต้องเป็นพระมเหสีเท่านั้นจึงจะเปลี่ยนเป็นทองคำลงยาราชาวดี แสดงว่าทรงยกย่องเจ้าคุณพระประยูรวงศ์เหนือกว่านักสนมอื่นใด) และพระเจ้าอยู่หัวองค์ต่อ ๆ มาก็มิได้มีพระราชดำรัสให้เรียกคืนตามประเพณีเก่า ด้วยทรงเคารพนับถือเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ ท่านจึงได้ครอบครองเครื่องยศทุกอย่างที่ได้รับพระราชทานจนตลอดอายุ ซึ่งนอกจากเครื่องยศทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ท่านยังได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างๆ ดังต่อไปนี้





เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐมจุลจอมเกล้า




เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ






เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 4 ชั้นที่ 5







เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 5 ชั้นที่ 2





เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1 (ชั้นที่ 1 มีลักษณะเป็นรูปไข่ มีอักษรพระบรมนามาภิไธย ว.ป.ร.เรือนเงินประดับเพชรล้วนอยู่ในพวงมาลาและมีหูสำหรับร้อยแพรแถบ เครื่องหมายแพรแถบ พื้นสีเหลือง มีริ้วดำ 2 ข้าง เหมือนกันทั้ง 5 ชั้น โดยสำหรับสตรีใช้ผูกเป็นรูปแมลงปอ ส่วนบุรุษไม่ผูก ใช้กลัดอกเสื้อ)




เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 2 (ชั้นที่ 2 มีลักษณะเป็นวงรี มีอักษรพระบรมนามาภิไธย ป.ป.ร. อยู่ในขอบวงรีหยิกทะแยงสี่แง่ เรือนทองคำลงยาสีเขียว ขอบเรือนเงินประดับเพชร หูทองคำสำหรับร้อยแพรแถบ เครื่องหมายแพรแถบ พื้นสีเหลือง มีริ้วเขียว 2 ข้าง เหมือนกันทั้ง 5 ชั้น โดยสำหรับสตรีใช้ผูกเป็นรูปแมลงปอ ส่วนบุรุษไม่ผูก ใช้กลัดอกเสื้อ)

กรณียกิจที่สำคัญของท่านเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ นอกจากในรัชกาลที่ 5 จะได้เป็นผู้นำในด้านการเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวภายในราชสำนักแล้ว ยังได้รับหน้าที่เป็นผู้เบิกพระโอษฐ์พระราชโอรส และ พระราชธิดา ในรัชกาลที่ 5 (หมายความว่า ท่านเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ได้เป็นผู้ที่ถวายน้ำนมจากหน้าอกของท่านเองแก่บรรดาพระราชโอรส-ธิดา เพื่อเป็นปฐมมงคล แต่เมื่อปลายรัชกาลเมื่อท่านมีอายุสูงขึ้นนั้นจนตลอดในรัชกาลที่ 6 น่าจะเป็นการถวายน้ำนมจากพระนมที่มีการคัดเลือกอย่างพิถีพิถันมากกว่าจะเป็นน้ำนมที่มาจากท่านเอง) หน้าที่นี้ท่านยังได้รับปฏิบัติสืบมาถึงรัชกาลที่ 6 คือได้เป็นผู้รับเบิกพระโอษฐ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นครั้งที่สุด

เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ มีพระเจ้าลูกเธอ 3 พระองค์ คือ

พระองค์เจ้าศรีวิไลยลักษณ สุนทรศักดิกัลยาวดี กรมขุนสุพรรณภาควดี ( 2411-2447 )
พระองค์เจ้าสุวพักตรวิไลพรรณ ( 2416-2473 )
พระองค์เจ้าบัณฑรวรรณวโรภาส ( 2418-2434 )
ท่านได้กราบถวายบังคมลาออกมาพำนัก ณ บ้านซึ่งได้รับพระราชทาน ณ ตำบลสามเสน จังหวัดพระนคร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2447 บ้านนั้นได้รับขนานนามว่า "สวนสุพรรณ" และท่านได้พำนักอยู่จนถึงแก่พิราลัย

ในบั้นปลายชีวิต ท่านได้ชีวิตไปกับการท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ เช่น ตราด จันทบุรี เชียงใหม่ เชียงราย และไปไกลถึงเมื่องบันดุง ชวา และ ปีนัง อินโดนิเซีย และที่ต้องไปประจำภายหลังรับรดน้ำสงกรานต์แล้ว คือที่อ่าวเกาะหลัก ประจวบคีรีขันธ์ เพราะท่านได้ไปปลูกบ้านตากอากาศไว้ที่นั่น

ในปี พ.ศ. 2484 เจ้าคุณพระประยูรวงศ์เมื่อวัยแก่ชราใกล้จะถึง 90 ปี นายกรัฐมนตรีประกาศชักชวนสตรีไทยให้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เช่นเปลี่ยนตัดผมสั้นเป็นไว้ยาว เปลี่ยนนุ่งผ้าโจงกระเบนเป็นนุ่งถุง และให้ใส่เกือกใส่หมวกเป็นต้น รัฐบาลได้ชวนเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ให้เป็นผู้นำสตรีที่มีบรรดาศักดิ์ให้เปลี่ยนแปลง ท่านก็ยินดีรับช่วยและเอาตัวของท่านเองออกหน้าเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวตามอย่างที่ต้องการ ก็มีผลให้ผู้อื่นปฏิบัติตามท่านอย่างคึกคัก ท่านจึงได้รับความเคารพนับถือจากรัฐบาลในสมัยนั้นและได้รับเชิญไปเข้าสมาคมและไปเป็นประธานในการให้รางวัลต่างๆต่อมาเนือง ๆ นอกจากนี้ยังได้บำเพ็ญกุศลอื่นๆ อีกในคราวฉลองอายุครบรอบ เช่น สร้างสุขศาลาเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ , บูรณะศาสนสถานต่างๆ ในวัดของบุรพชน ทั้งในและนอกจังหวัดพระนคร เป็นต้น

เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ได้ถึงพิราลัย ขณะอายุได้ 89 ปีเศ๋ษ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ปี พ.ศ. 2486 ณ บ้านบรรทมสินธุ์ ตำบลเทเวศร์ กรุงเทพฯ

ประเพณีสารทเดือนสิบ

หลังจากที่ไร้สาระกันไป 1 บทความ วันนี้ขอนำเสนอ ประเพณีไทยทางภาคใต้ค่ะ นั่นคือประเพณีสารทเดือนสิบนั่นเอง จริงๆแล้วประเพณีนี้มักจะจัดในเดือนกันยายน แต่ถ้ามันเป็นความรู้ ไม่ว่าเวลาไหนก็คงจะได้ใช่มั้ยคะ ไปดูกันเลยดีกว่าเนาะ ^^



ประเพณีสารทเดือนสิบ เป็นงานบุญประเพณีของคนภาคใต้ ของประเทศไทย โดยเฉพาะชาวนครศรีธรรมราช ที่ได้รับอิทธิพลด้านความเชื่อซึ่งมาจากทางศาสนาพราหมณ์โดยมีการผสมผสานกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเข้ามาในภายหลัง โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของบรรพชนและญาติที่ล่วงลับ หากทำความชั่วจะตกนรกกลายเป็นเปรต ต้องทนทุกข์ทรมานในอเวจี ต้องอาศัยผลบุญที่ลูกหลานอุทิศส่วนกุศลให้แต่ละปีมายังชีพ โดยได้รับการปล่อยตัวมาจากนรกที่ตนต้องจองจำอยู่โดยจะเริ่มปล่อยตัวจากนรกในทุกวันแรม 1 ค่ำเดือน 10 เพื่อมายังโลกมนุษย์โดยมีจุดประสงค์ในการมาขอส่วนบุญจากลูกหลานญาติพี่น้อง ที่ได้เตรียมการอุทิศไว้ให้เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ล่วงลับ หลังจากนั้นก็จะกลับไปยังนรก ในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10

ช่วงระยะเวลาในการประกอบพิธีกรรมของประเพณีสารทเดือนสิบจะมีขึ้นในวันแรม 1 ค่ำถึงแรม 15 ค่ำเดือนสิบของทุกปีแต่สำหรับวันที่ชาวใต้มักจะ นิยมทำบุญกันมากคือวันแรม 13-15 ค่ำ ประเพณีวันสารทเดือนสิบโดยในส่วนใหญ่แล้วจะตรงกับเดือนกันยายน



พิธีกรรม
พิธีกรรมของประเพณีสารทเดือนสิบ มีดังนี้
1. การจัดหฺมฺรับ
เริ่มในวันแรม 13 ค่ำ ชาวบ้านจะเตรียมซื้ออาหารแห้ง พืชผักที่เก็บไว้ได้นาน ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน และขนมที่เป็นสัญลักษณ์ของสารทเดือนสิบ จัดเตรียมใส่หฺมฺรับ
การจัดหฺมฺรับ คือ การบรรจุและประดับด้วยสิ่งของ อาหาร ขนมเดือนสิบลงในภาชนะที่เตรียมไว้ เช่น ถาด กาละมัง เข่ง กระเชอ เป็นต้น ชั้นล่างสุดบรรจุอาหารแห้ง ชั้นสองเป็นพืชผักที่เก็บไว้นาน ชั้นสามเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน ขั้นบนสุด ประดับขนมสัญลักษณ์เดือนสิบ 5 อย่าง (บางท่านบอกว่า 6 อย่าง )ได้แก่ ขนมพอง ขนมลา ขนมบ้า ขนมดีซำ ขนมแต่ละชนิดมีความหมายดังนี้



ขนมลา เป็นเสมือนเสื้อผ้าที่ให้บรรพบุรุษใช้นุ่งห่ม (คนเขียนเคยกินแล้ว..อร่อยดีค่ะ อิอิ)
ขนมพอง เป็นเสมือนแพที่ให้บรรพบุรุษข้ามห้วงมหรรณพ
ขนมกง เป็นเสมือนเครื่องประดับ ใช้ตกแต่งร่างกาย
ขนมบ้า เป็นเสมือนเมล็ดสะบ้า ไว้เล่นในวันตรุษสงกรานต์
ขนมดีซำ เป็นเสมือนเงินตรา ไว้ให้ใช้สอย
2. การยกหฺมฺรับ
ในวันแรม 14 หรือ 15 ค่ำ ชาวบ้านจะยกหฺมฺรับที่จัดเตรียมไว้ไปวัด และนำภัตตาหารไปถวายพระด้วย โดยเลือกไปวัดที่อยู่ใกล้บ้านหรือวัดที่บรรพบุรุษของตนนิยมไป
3. การฉลองหฺมฺรับและบังสุกุล
เมื่อนำหมฺรับไปวัดแล้ว จะมีการฉลองหฺมฺรับ และทำบุญเลี้ยงพระเสร็จแล้วจึงมีการบังสุกุล การทำบุญวันนี้เป็นการส่งบรรพบุรุษและญาติพี่น้องให้กลับไปยังเมืองนรก
4. การตั้งเปรต
เสร็จจากการฉลองหมฺรับและถวายภัตตาหารแล้ว ชาวบ้านจะนำขนมอีกส่วนหนึ่งไปวางไว้ตามบริเวณลานวัด ข้างกำแพงวัด โคนไม้ใหญ่ เรียกว่า ตั้งเปรต เพื่อแผ่ส่วนกุศลเป็นทานแก่ผู้ล่วงลับที่ไม่มีญาติ หรือญาติไม่มาร่วมทำบุญให้ การชิงเปรตจะทำตอนตั้งเปรตเสร็จแล้ว เพราะเชื่อว่าถ้าหากใครได้กินของเหลือจากการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ จะได้รับกุศลเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง
บางวัดนิยมสร้างหลาเปรต เพื่อสะดวกแก่การตั้งเปรต บางวัดสร้างหลาเปรตไว้บนเสาสูงเพียงเสาเดียว เกลาและชะโลมน้ำมันเสาจนลื่น เมื่อเวลาชิงเปรตผู้ชนะคือผู้ที่สามารถปีนไปถึงหลาเปรตซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จึงสนุกสนานและตื่นเต้น

กุศโลบายของประเพณี มีหลายอย่าง ดังนี้
1. เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ที่ได้อบรมเลี้ยงดูลูกหลาน เพื่อตอบแทนบุญคุณ ลูกหลานจึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
2. เป็นโอกาสได้รวมญาติที่อยู่ห่างไกล ได้พบปะทำบุญร่วมกันสร้างความรักใคร่สนิทสนมในหมู่ญาติ
3. เป็นการทำบุญในโอกาสที่ได้รับผลผลิตทางการเกษตรที่เริ่มออกผลเพราะเชื่อว่าเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว
4. ฤดูฝนในภาคใต้จะเริ่มขึ้นในปลายเดือนสิบ พระภิกษุสงฆ์บิณฑบาตยากลำบาก ชาวบ้านจึงจัดเสบียงอาหารนำไปถวายพระในรูปของหฺมฺรับ ให้ทางวัดได้เก็บรักษาเป็นเสบียงสำหรับพระภิกษุสงฆ์ในฤดูฝน

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

10/10/10 คืนนี้อยากได้กี่ครั้ง...

จั่วหัวซะแรงงงงงงงงงงงง เลยนะยัยเปรมมี่ 55555555555+

จริงๆแล้วคนเขียนอยากจะสื่อ ถึงวันที่ 10 ตุลาคม 2010 (วันพรุ่งนี้)ต่างหาก แค่เห็นว่าเลขมันสวยดี ตามความเชื่อเมื่อปีที่แล้ว ยังจำกันได้มั้ยคะ วันที่ 9 กันยายน 2009 หรือ 09/09/09 ที่เรามักจะจับเวลาอธิษฐานกัน มาถึงปีนี้ 10ตุลาคม 2010 ถึงมันจะไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไร แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่คนเขียนจะได้ทำอะไรที่ดีนะคะ คนเขียนตั้งใจไว้ว่าคนเขียนจะกลับไปโบสถ์สักที (คือบังเอิญมันตรงกับวันอาทิตย์พอดี)และเริ่มต้นทบทวนบทเรียนสักที เพราะที่เรียนมามันเริ่มเข้าหม้อคืนอาจารย์หมดล่ะ ต้องรีบทบทวน แล้วพอคนเขียนได้เห็นเกรดตัวเอง ก็พอจะรู้ล่ะว่าควรจะปรับปรุงตรงไหน เพราะเวลาอยู่บ้านเฉยๆมันน่าเบื่อมากกกกกกกกกกกกก ถ้าเลย ช่วง 7-10 วันแรกที่เราอยากจะพักจริงๆ ไม่อยากทำอะไรเลยไปแล้วนั้น มันจะน่าเบื่อมากกกกกกกกก ต้องหาอะไรทำ และมันก็เป็นการให้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยนะคะ

อีกอย่างที่จะบอกก็คือเดือนนี้เป็นเดือนเกิดของคนที่คนเขียนร้ากกกกกกกกกกกก หลายคน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ที่แสนดี เพื่อนสุดที่เลิฟตั้งแต่สมัยเรียนประถม คุณแม่สุดสวยของคนเขียน

หรือแม้กระทั่งคนที่ทำให้คนเขียนกลัวจนหงอ ซึมไปได้อีก 3 วัน คนที่ทำให้คนเขียนไม่กล้าที่จะกลับบ้านเย็น (ถ้าไม่จำเป็น)คนที่ทำให้คนเขียนตื่นเต้นจนมือสั่นได้ตลอดๆๆๆ (เวลาเฉลยข้อสอบ...ฮา) แต่ก็เป็นคนเดียวกันที่ใจดีที่สุด และทำให้คนเขียนรู้สึกว่า อยากจะเขียนหนังสือต่อไป เพราะเขานี้แหละ (เพราะหลายครั้ง คนเขียนทั้งขี้เกียจ และท้อ คิดว่าจะเรียนไปทำไมวะ เราจะกดดันอย่างนี้เพื่ออะไร แต่พอเพื่อนตะโกนบอกคนเขียนว่า..."นึกถึงหน้า 'คนนั้น' เอาไว้สิ เราต้องผ่านไปให้ได้" คนเขียนก็มีแรงฮึดผสมกลัวขึ้นมา จนทำใหคนเขียนผ่านพ้นตรงนั้นมาได้) โอ้วววว...สุดยอดจริงๆคนนี้

ก็เลยจะขอมอบเพลงให้สำหรับคนที่เกิดวันนี้ (9 ต.ค.) พรุ่งนี้ (10.ต.ค.)และคนที่เกิดเดือนนี้ทุกๆคนนะเจ้าคะ

เพลงแรกให้เดาเอา 55555+


ส่วนเพลงนี้



เพลง คืนนี้อยากได้กี่ครั้ง - ชิน ชินวุฒ
ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น เธอต้องรู้อะไรที่สำคัญกว่า
เมื่อเพลงสุดท้ายดังขึ้นมาแล้ว
ฉันไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ เธอต้องพบกับใครที่เขารอเธอ
แต่ตอนนี้ฉันคงไม่รอแล้ว

เพราะเธอ เธอคือสิ่งที่สวยงาม
ที่พรุ่งนี้ฉันอาจ จะไม่มีวันได้เจอแล้ว
ฝันอยู่ หรือฉันอาจจะฝันอยู่
ก็ยังไม่รู้ แต่จะถามเธอ

บอกมาคืนนี้ อยากได้กี่ครั้ง
ถ้าฉันบอกรักเธอ อยากฟังกี่ครั้ง
ก่อนหมดคืนนี้ อยากได้กี่ครั้ง
ฉันจะบอกรักเธอ ต่อให้เป็นร้อยล้านครั้งก็ยอม

ไม่เรียกร้องอะไรทั้งนั้น
ฉันแค่ขอให้เธอเป็นเพื่อนคุยก่อน
Just wanna be with you all night

ถึงไม่ได้มีคืนที่สอง ฉันก็พร้อมจะทำคืนนี้ของเรา
ให้มันสำคัญ ที่สุดเลย

เพราะเธอ เธอคือสิ่งที่สวยงาม
ที่พรุ่งนี้ฉันอาจ จะไม่มีวันได้เจอแล้ว
ฝันอยู่ หรือฉันอาจจะฝันอยู่
ก็ยังไม่รู้ แต่จะถามเธอ

บอกมาคืนนี้ อยากได้กี่ครั้ง
ถ้าฉันบอกรักเธอ อยากฟังกี่ครั้ง
ก่อนหมดคืนนี้ อยากได้กี่ครั้ง
ฉันจะบอกรักเธอ ต่อให้เป็นร้อยล้านครั้งก็ยอม

บอกมาคืนนี้ อยากได้กี่ครั้ง
ถ้าฉันบอกรักเธอ อยากฟังกี่ครั้ง
ก่อนหมดคืนนี้ อยากได้กี่ครั้ง
ฉันจะบอกรักเธอ ต่อให้เป็นร้อยล้านครั้งก็ยอม

บอกมาคืนนี้ อยากได้กี่ครั้ง
ถ้าฉันบอกรักเธอ อยากฟังกี่ครั้ง
ก่อนหมดคืนนี้ อยากได้กี่ครั้ง
ฉันจะบอกรักเธอ ต่อให้เป็นร้อยล้านครั้งก็ยอม

ศีลมหาสนิท

เป็นคริสเตียนมาก็หลายเดือนล่ะ แต่เพิ่งรับศีลมหาสนิท เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม นี่เอง คือคนเขียนไม่ค่อยได้ไปโบสถ์อ่ะ (บ้านอยู่บ้านโป่ง โบสถ์อยู่ ตั้งศรี/โรงแรมเวล นครปฐม เหอๆๆๆๆๆๆๆ)แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นแคร์ จะไปตลอดนะ เพราะโบสถ์อยู่ตั้งศรี แล้วแคร์จะจัดทุกวันพุธ หรือ ศุกร์ (ถ้าเห็นคนเขียนกลับบ้านเย็นๆ สัก 17.00น. ก็อย่าโกรธเลยนะคะ คือคนเขียนไปโบสถ์มาง่ะ)

แล้วเวลาผู้เชื่อใหม่เนี่ยจะยังไม่รับศีลมหาสนิททันทีหลังจากรับเชื่อ แต่จะรับหลังจากที่มาโบสถ์อย่างสม่ำเสมอแล้วระยะหนึ่ง เมื่อคิดว่าว่าพร้อมแล้ว จึงรับพิธีศีลมหาสนิทค่ะ



ศีลมหาสนิท หรือ มิสซา คือ พิธีกรรมของชาวคริสต์ เพื่อร่วมสนิทกับพระเยซู โดยการรับประทาน ขนมปัง (สัญลักษณ์แทนพระกายของพระองค์) และ เหล้าองุ่น (สัญลักษณ์แทนพระโลหิต)

การประกอบพิธีศีลมหาสนิท เพื่อให้ชาวคริสต์ระลึกถึงคุณของพระเจ้า เพื่อการประกาศยอมรับว่าพระเจ้าได้สถิตอยู่ในกายตน เพื่อแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ และเพื่ออยู่ร่วมกันด้วยความรักในประชาคมเดียวกัน

ศีลมหาสนิทมีที่มาจากเหตุการณ์ก่อนพระเยซูถูกจับกุมไปตรึงกางเขน ตรงกับคืนวันพฤหัสบดี มีการรับประทานอาหารร่วมกับอัครสาวกสิบสององค์ อันเป็นพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย (The Last Supper) ในการรับประทานอาหารครั้งนั้นอยู่ในช่วงปัสกา มีเพียง ขนมปัง และเหล้าองุ่น ซึ่งพระองค์ใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งพันธสัญญาใหม่ ในการไถ่บาปด้วยเนื้อและเลือดของพระองค์ดังที่ทรงพยากรณ์ไว้แล้ว

(นักบุญมัทธิวบันทึกว่า) " ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา และเมื่อถวายสาธุการแล้ว ทรงหักส่งให้กับเหล่าสาวก ตรัสว่า 'จงรับกินเถิด นี่เป็นกายของเรา' แล้วพระองค์จึงทรงหยิบถ้วยโมทนาพระคุณและส่งให้เขา ตรัสว่า 'จงรับไปดื่มทุกคนเถิด ด้วยว่านี่เป็นโลหิตของเรา อันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งต้องหลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนเป็นอันมาก เราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มน้ำผลแห่งเถาองุ่นต่อไปอีกจนวันนั้นมาถึง คือวันที่เราจะดื่มกันใหม่กับพวกท่านในแผ่นดินแห่งพระบิดาของเรา' " [พระวรสารนักบุญมัทธิว (มธ.)26:26-30]

(นักบุญลูกาบันทึกว่า) " พระองค์ตรัสกับเขาว่า 'เรามีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะกินปัสกานี้กับพวกท่าน ก่อนเราจะต้องทนทุกข์ทรมาน ด้วยเราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่กินปัสกานี้อีก จนกว่าจะสำเร็จความหมายของปัสกานั้น ในแผ่นดินของพระเจ้า' พระองค์ทรงหยิบถ้วยโมทนาพระคุณ แล้วตรัสว่า 'จงรับถ้วยนี้แบ่งกันดื่ม เพราะบอกบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มผลแห่งเถาองุ่นต่อไปอีก จนกว่าแผ่นดินของพระเจ้าจะมา' พระองค์ทรงหยิบขนมปังโมทนาพระคุณ แล้วหักส่งให้แก่เขาทั้งหลาย ตรัสว่า 'นี่เป็นกายของเรา ซึ่งได้ให้ท่านทั้งหลาย จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา' เมื่อรับประทานแล้ว จึงทรงหยิบถ้วย กระทำเหมือนกัน ตรัสว่า 'ถ้วยนี้ซึ่งเทออกเพื่อท่านทั้งหลาย เป็นคำสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา ...' " [พระวรสารนักบุญลูกา (ลก.)22: 15-20]

(นักบุญเปาโลเขียนจดหมายกล่าวว่า) " ... เพราะว่าเรื่องซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับท่านแล้วนั้น ข้าพเจ้าได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คือในคืนที่เขาอายัดพระเยซูเจ้านั้น พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ครั้งขอบพระคุณแล้ว จึงตรัสทรงหักแล้วตรัสว่า 'นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา' เมื่อรับประทานแล้ว พระองค์จึงทรงงหยิบถ้วยด้วยอาการอย่างเดียวกัน ตรัสว่า 'ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา เมื่อท่านดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด จงดื่มเป็นที่ระลึกถึงเรา' เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายกินขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนถึงพระองค์เสด็จมา เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดกินขนมปังหรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่สมควร ผู้นั้นก็ทำผิดต่อพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้ทุกคนพิจารณาตนเอง แล้วจึงกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ เพราะว่าคนที่กินและดื่มโดยมิได้เล็งเห็นพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็กินและดื่มเป็นเหตุให้ตนเองถูกพิพากษาโทษ ด้วยเหตุนี้พวกท่านหลายคนจึงอ่อนกำลังและป่วยไข้ และบ้างก็ล่วงหลับไป แต่ถ้าพวกเราพิจารณาตัวเราเอง เราคงไม่ต้องถูกทำโทษ เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำโทษเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเรา เพื่อมิให้เราถูกทรงพิพากษาลงโทษด้วยกันกับโลก ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า ด้วยเหตุนี้เมื่อท่านมาร่วมประชุมรับประทานอาหารนั้น จงคอยซึ่งกันและกัน ถ้ามีใครหิว ก็ให้เขากินที่บ้านเสียก่อน เพื่อเมื่อมาประชุมกัน ท่านจะได้ไม่ถูกทรงพิพากษาลงโทษ ... " [จดหมายของนักบุญเปาโลเขียนถึงคริสตจักรในเมือง โครินธ์ ฉบับที่ 1(1คร.)11: 23-34 ]

ทั้งสามข้อความ ยังสอดคล้องกับ พระวรสารนักบุญมาระโก 14: 23-26


แถมให้อีกบทความค่ะ



อะไรคือความสำคัญของพิธีศีลมหาสนิทของคริสเตียน?

คำตอบ: การศึกษาเกี่ยวกับพิธีศีลมหาสนิทเป็นเรื่องปลุกเร้าจิตวิญญาณเพราะความหมายอันลึกซึ้งของพิธีนี้ มันเป็นตอนที่มีการเฉลิมฉลองพิธีปัสกาอันเป็นพิธีที่ถือปฏิบัติต่อเนื่องมาช้านาน ก่อนวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงวายพระชนม์ ที่พระองค์ได้ทรงสถาปนาการมีการสามัคคีธรรมชนิดใหม่ที่สำคัญด้วยการรับประทานอาหารร่วมกันขึ้นมา ซึ่งเป็นพิธีที่เราถือปฏิบัติมาจนกระทั่งปัจจุบัน พิธีนี้เป็นการแสดงออกสูงสุดของการนมัสการของคริสเตียน มันเป็น “คำเทศนาภาคปฏิบัติ” อันเป็นการระลึกถึงการวายพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และเป็นการมองไปยังอนาคตถึงการเสด็จกลับมาที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระองค์

พิธีปัสกาเป็นพิธีเลี้ยงฉลองที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของปีในศาสนาของชาวยิว มันเป็นการระลึกถึงโรคระบาดสุดท้ายที่เกิดขึ้นเหนือคนอียิปต์เมื่อบุตรหัวปีของคนอียิปต์ต้องเสียชีวิต แต่บุตรหัวปีของคนอิสราเอลรอดพ้นจากความตาย อันเนื่องมาจากการประพรมเลือดแกะไว้ที่ประตู แล้วพวกเขาก็เอาแกะนั้นมาย่างและรับประทานพร้อมกับขนมปังไร้เชื้อ คำสั่งของพระเจ้าคือให้คนทุกยุคทุกสมัยเฉลิมฉลองพิธีนี้ตลอดไป เรื่องทั้งหมดนี้ได้มีบันทึกไว้ในหนังสืออพยพบทที่ 12

ในระหว่างการเฉลิมฉลอง พระเยซูทรงร้องเพลงสดุดีร่วมกับสาวกหนึ่งเพลงหรือมากกว่า (สดุดี 111 – 118) ต่อจากนั้นพระองค์ทรงหยิบขนมปัง ครั้นขอบพระคุณแล้ว จึงทรงหักแล้วตรัสว่า “จงรับไปกินเถิด นี่เป็นกายของเรา ซึ่งหักออกเพื่อท่านทั้งหลาย” เมื่อรับประทานแล้ว พระองค์จึงทรงหยิบถ้วยด้วยอาการอย่างเดียวกัน และหลังจากที่พระองค์ทรงดื่ม ทรงยื่นถ้วยให้กับพวกเขา, เขาทั้งหลายก็รับไปดื่ม พระองค์ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ด้วยโลหิตของเรา เมื่อท่านดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด จงดื่มให้เป็นที่ระลึกถึงเรา” พระองค์ทรงจบพิธีด้วยการร้องเพลงสรรเสริญ แล้วพวกเขาก็ออกไปในคืนนั้นเพื่อไปที่ภูเขามะกอกเทศ ที่นั่นเองที่พระเยซูทรงถูกทรยศโดยยูดาสตามที่ได้มีพยากรณ์ไว้ ในวันถัดมาพระองค์ก็ทรงถูกตรึงบนกางเขน

เรื่องราวเกี่ยวกับการเลี้ยงครั้งสุดท้ายของพระเยซูเจ้าได้มีบันทึกไว้ในหนังสือพระกิตติคุณ มัทธิว 26:26-29, มาระโก 14:17-25, ลูกา 22:7-22, และยอห์น 13:21-30 อัครทูตเปาโลได้เขียนเกี่ยวกับพิธีเลี้ยงครั้งสุดท้ายของพระเยซูโดยการเปิดเผยสำแดงที่ได้รับการดลใจไว้ในหนังสือ 1 โครินธ์ 11:23-29 (เพราะแน่นอนว่าท่านเปาโลไม่ได้อยู่ที่ห้องชั้นบนด้วยในตอนนั้น) ท่านเปาโลได้เขียนต่อท้ายไว้ว่า “เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดกินขนมปัง หรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่สมควร ผู้นั้นก็ทำผิดต่อพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้ทุกคนพิจารณาตนเอง แล้วจึงกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ เพราะว่าคนที่กินและดื่มโดยมิได้เล็งเห็นพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็กินและดื่มเป็นเหตุให้ตนเองถูกพิพากษาโทษ” (11:27-29) เราอาจจะถามว่าการกินและดื่ม “อย่างไม่สมควร” หมายความว่าอย่างไร คำตอบคือมันอาจหมายความว่าเราไม่ได้สนใจความหมายที่แท้จริงของขนมปังและน้ำองุ่น และลืมคิดไปถึงราคาอันหาค่าไม่ได้ที่องค์พระผู้ช่วยให้รอดได้ทรงจ่ายไปเพื่อความรอดของเรา หรือมันอาจหมายความว่าเราปล่อยให้พิธีนี้กลายเป็นพิธีที่ตายแล้วหรือเป็นพิธีกรรมอย่างเป็นทางการ หรือเราเข้ามาที่โต๊ะเสวยโดยไม่ได้สารภาพบาปเสียก่อน หากเราจะทำตามคำแนะนำของท่านเปาโล แต่ละคนควรพิจารณาตัวเองก่อนที่จะรับประทานขนมปังและดื่มจากถ้วยอย่างใส่ใจในคำเตือน คำต่อท้ายนี้ไม่ได้มีบันทึกไว้ในหนังสือพระกิตติคุณ

อีกข้อความหนึ่งที่ท่านเปาโลได้เขียนไว้ซึ่งไม่มีในหนังสือพระกิตติคุณ คือ “เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายกินขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา” (11:26) ข้อความนี้เป็นการกำหนดขีดจำกัดของพิธี – จนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเสด็จมา จากข้อความสั้น ๆ นี้ เราได้เรียนรู้ว่าพระเยซูได้ทรงใช้สิ่งที่เล็กน้อยที่สุดเป็นสัญลักษณ์ของพระกายและพระโลหิตของพระองค์ และทรงทำให้มันเป็นอนุสาวรีย์สำหรับการวายพระชนม์ของพระองค์ ไม่ใช่อนุสาวรีย์ที่แกะสลักด้วยหินอ่อนหรือรูปหล่อทองเหลือง แต่เป็นแค่ขนมปังและน้ำองุ่น

พระองค์ทรงประกาศว่าขนมปังเล็งถึงพระกายของพระองค์ซึ่งจะต้องแตกหัก – ไม่มีกระดูกที่แตกหัก แต่พระกายของพระองค์ต้องแตกหักเสียหายมากมายเสียจนแทบจะจำไม่ได้ (สดุดี 22:12-17, อิสยาห์ 53:4-7) น้ำองุ่นเล็งถึงพระโลหิตของพระองค์ มันบ่งชี้ถึงการสิ้นพระชนม์ที่โหดร้ายที่พระองค์จะได้รับในไม่ช้า พระองค์ - พระบุตรผู้ไร้ตำหนิของพระเจ้า - ทรงทำให้คำพยากรณ์ที่มีปรากฏอยู่ในพันธสัญญาเดิมหลายครั้งจนนับไม่ถ้วนเกี่ยวกับพระผู้ไถ่ (ปฐมกาล 3:15, สดุดี 22, อิสยาห์ 53, ฯลฯ) สำเร็จลง เมื่อพระองค์ตรัสว่า “จงทำเช่นนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเรา” มันเป็นการแสดงให้เห็นว่านี่คือพิธีที่จะต้องดำเนินต่อไปในอนาคต นอกจากนั้นมันยังแสดงให้เห็นด้วยว่าพิธีปัสกา - ซึ่งต้องใช้แกะที่ตายแล้วและเล็งไปข้างหน้า ถึงพระเมษโปดกของพระเจ้าผู้ที่จะเสด็จมาเอาความบาปออกไปจากโลก - เก่าพ้นสมัยไปแล้ว พันธสัญญาใหม่ได้เข้ามาแทนที่เมื่อพระคริสต์ – แกะปัสกา - (1 โครินธ์ 5:7) ได้ถูกนำมาเป็นเครื่องถวายบูชา (ฮีบรู 8:8-13) ระบบการถวาบบูชาจึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป (ฮีบรู 9:25-28)

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

จอห์น เลนนอน (John Winston Lennon)



วันนี้ตอนที่คนเขียนกำลังเข้า Google อยู่ ก็ได้เห็น Doodle ครบรอบ 70 ปี จอห์น เลนนอน เลยขอโอกาสอัพเลยนะคะ



จอห์น วินสตัน โอโนะ เลนนอน (อังกฤษ: John Winston Ono Lennon) (9 ตุลาคม พ.ศ. 2483-8 ธันวาคม พ.ศ. 2523) เป็นทั้งนักร้อง นักแต่งเพลง นักดนตรีชาวอังกฤษ รู้จักกันดีในนามจอห์น เลนนอน แห่งวงเดอะบีทเทิลส์ โดยตั้งวงกับ พอล แม็คคาร์ตนีย์ จอร์จ แฮร์ริสัน และ ริงโก สตารร์ เนื้อเพลงของเลนนอนจะมีลักษณะที่เต็มไปด้วยความหวัง สันติภาพ และความเจ็บปวด ซึ่งแสดงถึงลักษณะสังคมในช่วงนั้น และในช่วงหนึ่งเลนนอนได้ถูกจัดเข้ากับกลุ่มนักปฏิวัติเพื่อความสงบสุข

เลนอนเกิดที่เมืองลิเวอร์พูล ในปี พ.ศ. 2483 ได้แต่งงานครั้งแรกกับ ซินเทีย โพวเวลล์ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2505 โดยมีบุตรชายคนแรกชื่อ จอห์น ชาร์ลส จูเลียน เลนนอน (John Charles Julian Lennon) และแต่งงานครั้งที่สองกับนักร้องชาวญี่ปุ่น โยโกะ โอโน่(Yoko Ono) เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2512 โดยมีลูกชายชื่อ ฌอน เลนนอนหรือ ฌอน ทาโร โอโน่ เลนนอน (Sean Taro Ono Lennon)

เลนนอนถูกฆาตรกรรมในนครนิวยอร์ก, ดาโกต้า, สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2523

ประวัติ
สมัยเด็กๆ จอห์นชอบวาดภาพผู้ที่พิการทุพพลภาพ และครูคิดว่าเขาน่าจะสอบเข้าไปเรียนในวิทยาลัยศิลปะได้ และเขาก็สอบได้ และที่วิทยาลัยแห่งนี้เองที่เขาได้พบกับซินเธีย โพเวลล์ ผู้หญิงซึ่งต่อมาได้กลายเป็นภรรยาคนแรกของจอห์น

เมื่อตอนที่จอห์นอายุ 16 ปี ได้ตั้งวงดนตรีชื่อควอร์รี่ แมน (Quarry Man) และเปิดการแสดงกันในโรงเรียน จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ได้รู้จักกับ พอล แมกคาร์ตนีย์ ณ จุดนี้เอง จอห์นและพอลก็ได้มาร่วมงานกัน พร้อมกับจอร์จ แฮริสัน เป็นที่มาของวงดนตรี “เดอะ บีทเทิลส์” หรือ 4 เต่าทอง

การแสดงของวงเข้าตา ไบรอัน เอพสเตน ซึ่งต่อมาเป็นผู้จัดการวง ซิงเกิ้ลแรกของพวกเขาชื่อว่า Love me Do ซึ่งได้ จอร์จ มาร์ติน เป็นโปรดิวเซอร์ เพียงแค่วันที่สองของการออกซิงเกิ้ลนี้มันก็สามารถขึ้นชาร์ทที่อันดับ 17

จอห์นแต่งงานกับซินเธีย โพเวลล์ ในปี 1962 มีลูกชายด้วยกัน 1 คน คือจูเลียน แต่ที่สุดก็หย่าขาดจากกัน เมื่อจอห์นพบรักใหม่กับ โยโกะ โอโนะ ที่เดอะ อินดิก้า แกลเลอรี่ ปี 1966 จากนั้นในปี 1970 สี่เต่าทองก็วงแตก

จอห์นยังคงทำงานดนตรีด้วยการออกผลงานเดี่ยว อัลบั้ม Imagine ตามด้วย Mind Games, Rock and Roll และ Walls and Bridge แต่ชีวิตส่วนตัวย่ำแย่ จอห์น และ โยโกะ แยกทางกันเป็นเวลา 14 เดือน เพราะการกดดันของสาธารณชน แต่หลังจากนั้นทั้งสองก็กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง

ในปี 1975 โยโกะก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายแก่เขาอีกคนชื่อ “ฌอน” จอห์นทิ้งอาชีพนักดนตรีไป 5 ปี เพื่อทำตัวเป็นพ่อบ้านที่ดี คอยเลี้ยงดูลูกชายคนนี้ หลังจาก 5 ปีผ่านไปเขาก็หวนนึกถึงอาชีพนักดนตรีและเขาแต่งเพลงอีกครั้ง เขาเขียนงานเพลง Double Fantasy และบันทึกในปีเดียวกันคือปี 1980

แต่โชคร้ายก็มาเยือนในวันที่ 8 ธันวาคม 1980 ช่วงบ่ายขณะที่จอห์น เลนนอน อยู่ในสตูดิโอเพื่อกำลังเตรียมตัวอัดเพลงใหม่ ก็มีชายคนนึ่งชื่อว่า Mark Chapman (มาร์ค แชปแมน) ถือกระดาษกับปากกายืนให้จอห์น เลนนอน แล้วพูดว่า"ฉันจะมีลายเซ็นของคุณเป็นที่ระลึกได้ไหม?"จอห์นจึงเซ็นลายเซ็นของเขาให้แล้วก็ไป ทำงานต่อ

คืนนั้นจอห์นกับโยโกะก็มาอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนต์ของเขา เขาก็พบmark chapmanคนที่มาขอลายเซ็นเขานั้นเองแต่คราวนี้ในมือเขาไม่ใช่ปากกากับกระดาษแต่เป็นปืน

มาร์คพูดว่า "คุณเลนนอน!!" แล้วเขาก็ยิงจอห์นไปห้านัด จอห์นเสียชีวิตทันทีด้วยวัย 40 ปี 3 นาทีต่อมา ตำรวจมาถึงอพาร์ตเมนต์ มาร์คยังอยู่ตรงนั้นเขาพูดกับตำรวจว่า"ฉันนี้แหละที่ยิงจอห์น เลนนอน"

เมื่อ"ดนตรีคลาสสิก"กับ"ร็อค"มาเจอกัน...ความมันส์ก็บังเกิด...

ใครว่าดนตรีคลาสสิกเป็นเรื่องของชนชั้นสูง เป็นเรื่องของคนรวย วันนี้คนเขียนขอฉีกกรอบเดิมๆ ของดนตรีคลาสสิก ที่คราวนี้ขอนำมาผสมผสานกับเพลงร็อก ที่ไม่ใช่ร็อกเบาๆ นะคะ แต่เป็น ร็อกจัดๆแบบ "Heavy metal" เลยทีเดียว แถมมี กีตาร์ (ของพี่น็อต) และไวโอลินไฟฟ้า(ของพี่เป้) ที่ solo ดวลกันในตอนต้น และว้ากกกกกกกก(จากพี่แน๊ป) ตอนท้ายเพลงด้วย โดยเพลงที่นำมาเล่นนี้...ชื่อว่า Immortal ของ พี่ๆ VieTrio ตามเคยค่า Feat.โดย วง Retrospect ค่ะ (วงโปรดของคนเขียนอีกล่ะ...วงนี้เคยมาจัดคอนเสิร์ตที่โรงเรียนด้วยนะคะ) จะว่าไป การผสมผสานแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรกับวงการดนตรีโลกหรอกนะคะ แต่คนเขียนคิดว่าเป็นการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ของวงการดนตรีของประเทศไทยค่ะ อ้อ...เพลงนี้มีต้นฉบับมาจากเพลงคลาสสิกคือ Camina Burana โดย Carl Orff. , Violin Concerto ท่อน 1 โดย Jean Sibelius , Toccata และ Fugue in D Minor โดย J.S.Bach ค่ะ อ๊ากกกกกกกกกกก...ขอบอกว่า มันส์เกินบรรยาย...ไปฟังกันเลยดีกว่าค่ะ



Rock music
Rock music is a genre of popular music that entered the mainstream in the 1960s. It has its roots in 1940s and 1950s rock and roll, rhythm and blues, country music and also drew on folk music, jazz and classical music. The sound of rock often revolves around the electric guitar, bass guitar, drums, and keyboard instruments such as hammond organ, piano, or, since the late 60s, synthesizers. Rock music typically uses simple unsyncopated rhythms in a 4/4 meter, with a repetitive snare drum back beat on beats two and four. Guitar solos feature prominently in rock music, however keyboard, saxophone and blues-style harmonica are also sometimes used as soloing instruments. In its "purest form", it "has three chords, a strong, insistent back beat, and a catchy melody."

In the late 1960s and early 1970s, rock music developed different subgenres. When it was blended with folk music it created folk rock, with blues to create blues-rock and with jazz, to create jazz-rock fusion. In the 1970s, rock incorporated influences from soul, funk, and Latin music. Also in the 1970s, rock developed a number of subgenres, such as soft rock, glam rock, heavy metal, hard rock, progressive rock, and punk rock. Rock subgenres that emerged in the 1980s included new wave, hardcore punk and alternative rock. In the 1990s, rock subgenres included grunge, Britpop, indie rock, and nu metal.

A group of musicians specializing in rock music is called a rock band or rock group. Many rock groups consist of an electric guitarist, lead singer, bass guitarist, and a drummer, forming a quartet. Some groups omit one or more of these roles or utilize a lead singer who plays an instrument while singing, sometimes forming a trio or duo; others include additional musicians such as one or two rhythm guitarists or a keyboardist. Rock bands from some genres, particularly those related to rock's foundations in rock and roll, include a saxophone. More rarely, groups also utilize bowed stringed instruments such as violins or cellos, and brass instruments such as trumpets or trombones.

More recently the term rock has been used as a blanket term including forms such as pop music, reggae music, soul music, and sometimes even hip hop, with which it has often been contrasted through much of its history.

Metalcore and contemporary heavy metal
Metalcore, originally an American hybrid of thrash metal and hardcore punk, emerged as a commercial force in the mid-2000s. It was rooted in the crossover thrash style developed two decades earlier by bands such as Suicidal Tendencies, Dirty Rotten Imbeciles, and Stormtroopers of Death and remained an underground phenomenon through the 1990s. By 2004, melodic metalcore, influenced by melodic death metal, was sufficiently popular for Killswitch Engage's The End of Heartache and Shadows Fall's The War Within to debut at #21 and #20, respectively, on the Billboard album chart. Bullet for My Valentine, from Wales, broke into the top 5 in both the U.S. and British charts with Scream Aim Fire (2008). In recent years, metalcore bands have received prominent slots at Ozzfest and the Download Festival. Lamb of God, with a related blend of metal styles, hit the #2 spot on the Billboard charts in 2009 with Wrath. The success of these bands and others such as Trivium, who have released both metalcore and straight-ahead thrash albums, and Mastodon, who played in a progressive/sludge style, inspired claims of a metal revival in the United States, dubbed by some critics the "New Wave of American Heavy Metal".

The term "retro-metal" has been applied to such bands as England's The Darkness and Australia's Wolfmother. The Darkness's Permission to Land (2003), described as an "eerily realistic simulation of '80s metal and '70s glam", topped the UK charts, going quintuple platinum. One Way Ticket to Hell... and Back (2005) reached number 11. Wolfmother's self-titled 2005 debut album combined elements of the sounds of Deep Purple and Led Zeppelin.

In continental Europe, especially Germany and Scandinavia, metal continues to be broadly popular. Well-established British acts such as Judas Priest and Iron Maiden continue to have chart success on the continent, beside a range of local groups. In Germany, Western Europe's largest music market, several continental metal bands placed multiple albums in the top 20 of the charts between 2003 and 2008, including Finnish band Children of Bodom, Norwegian act Dimmu Borgir, and Germany's Blind Guardian and Sweden's HammerFall. The Swedish act In Flames took both Come Clarity (2006) and A Sense of Purpose (2008) to the top of the Swedish charts and number 6 in Germany.