สวัสดีตอนเที่ยงๆ วันพฤหัสบดีค่ะ
อยากจะบอกว่าคิดจะทำ Mixpod หลายรอบล่ะ จะได้ไม่มีพวก Youtube มาเกะกะ แต่ว่ายังไม่เวลาปรับปรุงเพจเล้ยยยยยยยยยยย เสียดายบ้านคนเขียนไม่มีคอม ไม่งั้นแม่อัพแหลกค่ะ 55555555+ ที่เห็นมีแต่เรื่องดนตรี กรุณาอย่าสงสัย และอย่าเพิ่งเอียนเลยนะคะ คือเรื่องของเรื่องคนเขียนมักจะอยู่คนเดียว (ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน) และมักจะเครียดบ่อยๆ เลยมักจะฟังแต่เพลง พอมีเวลาว่างอัพบล็อกแต่ละที หัวมันก็เลยมีแต่เพลง 5555+ จริงๆแล้วคนเขียนมีบทความที่น่าสนใจมากมายที่มีโอกาสได้อ่านแล้วถ่ายเอกสารกลับมาบ้าง ซื้อมาบ้าง แต่อย่างที่บอก บ้านมันไม่มีคอม เลยไม่มีโอกาสได้เขียนขึ้นบล็อกสักที นอกจากนั้นยังมีเทปเสียงสารคดีประวัติศาสตร์ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ซึ่งยังไม่มีเวลาแกะออกมาเป็นตัวหนังสือเ้ลย (กะว่าจะทำช่วงปิดเทอม) ก็เลยอยากจะบอกท่านผู้อ่านว่าใจเย็นๆสักนิดนะคะ อย่าโกรธคนเขียนเลย....ขอร้อง TTTTTTTTTTT^TTTTTTTTTTTT
เอาละค่ะ มาเข้าบทความดีๆกันดีกว่่า แน่นอนว่าโดนวิจารณ์มาแล้ว บทความนี้คงไม่เขียนเกี่ยวกับดนตรี...ฮา แต่วันนี้จะเขียนเกี่ยวกับ "เบต้าแคโรทีน" ที่ได้พูดถึงกันในคาบวิชาภาษาฝรั่งเศสนะคะ ^^
"เบต้าแคโรทีน" (Beta-carotene) เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ(โปรวิตามินเอ) มี บทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทั้งนี้ โดย ปกติร่างกายของมนุษย์เราสามารถเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนไปเป็นวิตามินเอได้ตาม ปริมาณที่ร่างกายต้องการ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เสมือนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(แอนตี้ออกซิเดนท์) ด้วย
สำหรับขนาดรับประทานของวิตามินเอเพื่อรักษาสุขภาพโดยทั่วไปคือ 5,000 หน่วย สากล(IU) ซึ่งเทียบเท่ากับเบต้าแคโรทีน 3 มิลลิกรัม และสำหรับปริมาณที่สม เหตุสมผลของเบต้าแคโรทีนที่แนะนำให้รับประทานต่อวันเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็ง แรงคือ 15 มิลลิกรัม ในขณะที่การรับประทานเพื่อหวังผลในรักษาจะต้องได้รับใน ปริมาณมากกว่านี้
เบต้าแคโรทีนมีในพืชสีเหลืองและสีส้ม ทั้งแครอต ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าว โพดอ่อน แตงโม แคนตาลูป มะละกอสุก และผักที่มีสีเขียวอย่างบร็อกโค ลี่ มะระ ผักบุ้ง ต้นหอม ผักคะน้า ผักตำลึง เป็นต้น (เหตุที่มีสีเขียวเพราะ สีของเบต้าแคโรทีนถูกสีเขียวของคลอโรฟิลล์บดบัง)
ประโยชน์ที่เบต้าแคโรทีนให้แก่ร่างกายคือ
1.ดูแลรักษาผิวพรรณอันเป็นส่วนของร่างกายที่ดีที่สุดที่จะทำให้ทราบว่า อนุมูลอิสระมีผลต่อเราแล้วหรือยัง เช่น ผิวเริ่มเหี่ยวย่น ไม่ผ่องใส
2.ลดความเสี่ยงต่อภาวะมะเร็ง อนุมูลอิสระมีผลเกี่ยวข้องกับมะเร็งเนื้อ ร้าย การลดปริมาณอนุมูลอิสระเท่ากับลดความเสี่ยงของมะเร็ง ทั้งยังพบว่าเบ ต้าแคโรทีนให้ผลกระตุ้นเซลล์ภูมิต้านทานในร่างกายที่ชื่อ ที-เฮลเปอร์ ให้ทำ งานต้านสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น ให้ผลดีกับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อมะเร็ง
3.บำรุงสุขภาพของดวงตา เบต้าแคโรทีนเมื่อโดนย่อยสลายที่ตับแล้วจะได้วิตามิน เอ ซึ่งร่างกายนำไปใช้สร้างสารโรดอฟซินในดวงตาส่วนเรตินา ทำให้ตามีความ สามารถในการมองเห็นในตอนกลางคืนได้ และยังลดความเสื่อมของเซลล์ของลูกตา ลด ความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกด้วย
4.ชะลอความแก่ เบต้าแคโรทีนให้ผลในการลดความเสื่อมของเซลล์จากอนุมุลอิสระ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดกระบวนการแก่
เบต้าแคโรทีนนับเป็นสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญสำหรับสุขภาพของมนุษย์ อย่างไร ก็ตามไม่พบว่ามีรายงานของการขาดเบต้าแคโรทีนเลย แม้ว่าการวิจัยจำนวนมากจะ ระบุว่า การเสริมด้วยเบต้าแคโรทีนใช้ในคนที่มีอาการขาดวิตามินเอ แต่ก็ยังคง ไม่มีข้อมูลแน่ชัดที่แสดงถึงอาการขาดเบต้าแคโรทีน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์และนัก โภชนาการแนะนำว่าเราควรรับประทานเบต้าแคโรทีนเข้าสู่ร่างกายโดยการบริโภคผัก สดและผลไม้สด
สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเป็นผลเสียต่อร่างกายจากเบตาแคโรทีน ขณะนี้ยังไม่ พบ แม้จากการวิจัยพบว่าวิตามินเออาจเป็นพิษได้ถ้ารับประทานในปริมาณที่สูงก ว่า 25,000 หน่วยสากล(IU) ต่อวัน แต่ไม่พบว่าเบต้าแคโรทีนมีความเป็น พิษ เมื่อรับประทานในปริมาณสูง ส่วนการมีปฏิกิริยากับสารอื่นไม่พบรายงานว่า มีปฏิกิริยาของเบต้าแคโรทีนกับยาสมุนไพร รวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆ
จาก รู้ไปหมด ข่าวสด
http://www.sudipan.net/phpBB2/viewtopic.php?p=10254
วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554
Don Blog ศัพท์ใหม่...แบบฮาๆ
ภาษาประหลาดวันละคำ
สวัสดีค่ะ...ท่านผู้อ่าน...วันนี้ขอเสนอ...คำว่า... Don Blog (ดอง บล็อก)...
ดอง บล็อก เป็นคำกริยาในหมวดข้ออ้างที่ใช้กันมานานจนไม่สามารถระบุผู้คิดค้นที่ชัดเจนได้ รู้แต่ว่าเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่บล็อกเกอร์ของศตวรรษที่20 โดยเวลาใช้มักนิยมใช้ร่วมกับเหตุผลอื่นๆ เช่น
ดองบล็อกเพราะเรียนหนัก (พบเห็นได้ในหมู่คนตั้งใจเรียนทั่วไป)
ดองบล็อกเพราะการบ้าน (อันนี้ประสบกับตัวเอง...ฮา เพราะขี้เกียจทำการบ้านง่ะ)
ดองบล็อกเพราะขี้เกียจ (อันนี้ก็มีตัวอย่างสดๆที่บล็อกเพื่อนๆ พี่ๆ หลายๆท่าน)
ดองบล็อกแต่เปิดล็อกอินใหม่ (สำหรับพวกที่ไม่มีความรับผิดชอบ ชอบลืม User ลืม Password กรุณาไปแจ้งกับอาจารย์ด้วยนะคะ)
ดองบล็อกซะงั้น… (อย่างที่หลายๆท่านทำอยู่นั่นแหละ) เป็นต้น
บางครั้งการดองบล็อก อาจลุกลามไปถึงขั้นเป็นการปิดบล็อกถาวรได้ ซึ่งอาการแบบนี้มักวนเวียนอยู่ในสาเหตุแค่ไม่กี่อย่าง เช่น
ดองบล็อกเพราะหนีโจทก์จนต้องปิดบล็อก
ดองบล็อกเพราะดันอัพถี่ไปจนหมดมุกเลยต้องปิดบล็อก
และดองบล็อกเพราะขี้เกียจ แล้วอาจารย์เข้ามาดูก็เคือง ในที่สุดก็ยกเลิกลิงค์และปิดบล็อกไป เป็นต้น
ป.ล.ไอ้คนที่โดนยกเลิกลิงค์เข้าหน้าเว็บ ยังมีหน้ามาชวนเพื่อนมันดองอีก บอกว่าสบาย...ดี (ด้านซะ)
สวัสดีค่ะ...ท่านผู้อ่าน...วันนี้ขอเสนอ...คำว่า... Don Blog (ดอง บล็อก)...
ดอง บล็อก เป็นคำกริยาในหมวดข้ออ้างที่ใช้กันมานานจนไม่สามารถระบุผู้คิดค้นที่ชัดเจนได้ รู้แต่ว่าเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่บล็อกเกอร์ของศตวรรษที่20 โดยเวลาใช้มักนิยมใช้ร่วมกับเหตุผลอื่นๆ เช่น
ดองบล็อกเพราะเรียนหนัก (พบเห็นได้ในหมู่คนตั้งใจเรียนทั่วไป)
ดองบล็อกเพราะการบ้าน (อันนี้ประสบกับตัวเอง...ฮา เพราะขี้เกียจทำการบ้านง่ะ)
ดองบล็อกเพราะขี้เกียจ (อันนี้ก็มีตัวอย่างสดๆที่บล็อกเพื่อนๆ พี่ๆ หลายๆท่าน)
ดองบล็อกแต่เปิดล็อกอินใหม่ (สำหรับพวกที่ไม่มีความรับผิดชอบ ชอบลืม User ลืม Password กรุณาไปแจ้งกับอาจารย์ด้วยนะคะ)
ดองบล็อกซะงั้น… (อย่างที่หลายๆท่านทำอยู่นั่นแหละ) เป็นต้น
บางครั้งการดองบล็อก อาจลุกลามไปถึงขั้นเป็นการปิดบล็อกถาวรได้ ซึ่งอาการแบบนี้มักวนเวียนอยู่ในสาเหตุแค่ไม่กี่อย่าง เช่น
ดองบล็อกเพราะหนีโจทก์จนต้องปิดบล็อก
ดองบล็อกเพราะดันอัพถี่ไปจนหมดมุกเลยต้องปิดบล็อก
และดองบล็อกเพราะขี้เกียจ แล้วอาจารย์เข้ามาดูก็เคือง ในที่สุดก็ยกเลิกลิงค์และปิดบล็อกไป เป็นต้น
ป.ล.ไอ้คนที่โดนยกเลิกลิงค์เข้าหน้าเว็บ ยังมีหน้ามาชวนเพื่อนมันดองอีก บอกว่าสบาย...ดี (ด้านซะ)
วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554
[แนะนำน้อง] 10 เหตุผลที่ควรเลือกเรียนฝรั่งเศส!!!
Bonjour tout le monde [บทความแนะนำสายภาษา-ฝรั่งเศส]
ตอนนี้ก็ใกล้จะปลายภาคเต็มที แล้วนะคะ (กลางภาคกับปลายภาค ห่างกันเดือนเดียวเองงง) ตอนนี้ก็มีน้องๆหลายคนที่สนใจในสายศิลป์-ฝรั่งเศส เข้ามาถามคนเขียนบ้างแล้ว 555+ ไม่ว่าจะเป็น "ดูเกรดยังไง...เกรดจะถึงหรือเปล่า?" "หนูจะเข้าได้มั้ย...เข้าไปแล้วจะเรียนไหวหรือเปล่า?" "เรียนยากหรือเปล่า?" ไปจนกระทั่ง "อาจารย์ดุมั้ย?"!!!!...ฮา
ก็เลยถือโอกาสประชาสัมพันธ์สายตัวเองตรงนี้เลยก็แล้วกัน 555 (เดี๋ยวจะนำ URL ของบล็อกไปบอกน้องๆทีหลัง หุหุ)
ศิลป์-ฝรั่งเศส
หรือที่เรารู้จักกันในนาม...
ฟรองเซ่
ต่อไปนี้คนเขียนจะขอพาน้องๆทุกคนมาดูกันว่า
ทำไมภาษาฝรั่งเศสจึงน่าเรียน...มากกก โดยพบกับ...
10 เหตุผลที่ควรเรียนภาษาฝรั่งเศส
ภาษาต่างประเทศล้วนเป็นสิ่งมีคุณค่าในตัวภาษาเอง ส่วนที่ว่าเรียนแล้วจะใช้สื่อสารได้แค่ไหนคงต้องขึ้นอยู่กับความตั้งใจ ความมุ่งมั่น การฝึกฝนจนชำนาญของผู้เรียน และนี่คือ 10 เหตุผลที่ควรเรียนภาษาฝรั่งเศส
1. ภาษาสนทนาแห่งโลก ผู้คนจำนวนมากว่า 200 ล้านคนใน 5 ทวีปสนทนาโดยใช้ภาษาฝรั่งเศส ประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสทั้ง 68 ประเทศและรัฐบาลต่างรวมกลุ่มกัน ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาต่างประเทศที่เข้าใจกันอย่างกว้างขวางรองมาจากภาษาอังกฤษและเป็นภาษาที่มีการใช้ในการสนทนามากเป็นลำดับที่ 9 ของโลก
2. ภาษาเพื่อการสรรหาอาชีพ การสนทนาภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษเป็นคุณสมบัติโดดเด่นทุกหนทุกแห่งสำหรับโอกาสในการหาอาชีพในตลาดอาชีพสากล ทั้งในประเทศฝรั่งเศสเองหรือประเทศอื่นที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส (แคนาดา สวิสเซอร์แลนด์ เบลเยี่ยม และทวีปแอฟริกา) ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศในลำดับที่ 5 ของโลกที่มีอำนาจในทางพาณิชย์และเป็นประเทศในลำดับที่ 3 ในการต้อนรับนักลงทุนชาวต่างชาติ
3. ภาษาแห่งวัฒนธรรม ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาสากลสำหรับเรื่องอาหาร แฟชั่น ภาพยนตร์ ศิลปะ เต้นรำ และการออกแบบ การรู้จักภาษาฝรั่งเศสสามารถเข้าถึงในการเข้าใจต้นแบบของวรรณกรรมฝรั่งเศสรวมทั้ง ภาพยนตร์ บทเพลง และวรรณกรรมของประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสอื่นๆ ด้วย ได้แก่ ผลงานของ Victor Hugo, Molière, Edith Piaf, Sartre หรือ นักฟุตบอลอย่าง Zinedine Zidane…
4. ภาษาเพื่อการเดินทาง ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีผู้มาเยือนมากกว่า 70 ล้านคนต่อปี และสถานที่ที่น่าเยี่ยมชม คือ ปารีส และ ทุกแคว้นของประเทศฝรั่งเศส ความรู้ในภาษาฝรั่งเศสเปิดโอกาสให้เข้าใจวัฒนธรรม ความคิด และวิถีชีวิตของคนฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสได้ดียิ่งขึ้น
5. ภาษาเพื่อการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ความรู้ ความเข้าใจภาษาฝรั่งเศส จะสามารถศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง สถาบันการศึกษาชั้นสูง ชั้นนำระดับโลกในฝรั่งเศสได้ ในระดับ มหาวิทยาลัยนี้ รัฐบาลยังมีทุนการศึกษาหลายทุนสำหรับนักเรียนที่เรียนดีอีกด้วย
6. ภาษาเพื่อความสัมพันธ์นานาชาติ ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแห่งโอกาสในการทำงาน และภาษาทางการของสหประชาชาติ สหภาพยุโรป ยูเนสโก้ องค์การนาโต้สภาโอลิมปิกสากล ฯลฯ ภาษาใน 3 เมืองสำคัญของยุโรป Strasbourg , Bruxelles และ Luxembourg
7. ภาษาสำหรับการเปิดโลกทัศน์ นอกจากอังกฤษและภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ 3 ในอินเตอร์เน็ต การเข้าใจในภาษาฝรั่งเศส สามารถเข้าใจในโลกการสื่อสารกับต่างประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสทั่วทุกทวีป และการรู้ข่าวสาร ระหว่างประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส
8. ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ง่ายต่อการเข้าใจ มีวิธีมากมายที่จะสนุกกับการเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และสามารถใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว
9. การเข้าใจภาษาฝรั่งเศสช่วยในการเข้าใจภาษาอื่น โดยเฉพาะภาษาที่มีรากศัพท์มาจาภาษาละติน 50% ของคำศัพท์ภาษาอังกฤษในปัจจุบันมีส่วนคล้ายกับภาษาฝรั่งเศส
10. ภาษาแห่งความรักและจิตวิญญาณ การเข้าใจภาษาฝรั่งเศสเป็นความสุขในการเข้าใจภาษาที่สวยงาม ไพเราะ ซึ่งถูกเรียกว่าเป็นภาษาแห่งความรัก ภาษาฝรั่งเศสยังเป็นภาษาแห่งการวิเคราะห์ ที่มีโครงสร้างให้เกิดความคิด พิจารณา วิพากษ์วิจารณ์ และสามารถใช้ในการปรึกษา เจรจา และการต่อรอง
อย่าลืม!!!
มาเข้าศิลป์-ฝรั่งเศสกันเยอะๆ นะคะน้องๆ
PS. ฟรองเซ่...คุณค่าที่คุณคู่ควร ;))
Credit : พี่ๆ ศิลป์-ฝรั่งเศส โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (ผู้น่ารัก)
http://www.dektriam.net/TopicRead.aspx?topicID=109268
รูปภาพ : http://www.dektriam.net/TopicRead.aspx?topicID=125074
วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554
อยากสี "ซออู้"ให้คุณครูฟัง ^^
ชื่อบทความแรกของปีใหม่ในวันนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับสำนวนไทยใดๆทั้งสิ้นนะคะ มันเป็นความฝันเล็กๆที่คนเขียนอยากจะทำจริง..จริ๊ง (ถึงแม้ตอนนี้ยังเล่นได้ไม่ถึงไหนก็เถอะนะ)
นอกจากคนเขียนจะมีความหลงใหลในดนตรีคลาสสิกแล้ว คนเขียนก็รักดนตรีไทยอย่างมากด้วยค่ะ (รักนักดนตรีไทยด้วยแหละ ๕๕๕+) วันนี้เลยอยากจะนำเสนอเครื่องดนตรีไทยชนิดหนึ่ง ที่คนเขียนกำลังฝึกเล่นอยู่นะคะ นั่นก็คือ "ซออู้" นั่นเอง
ซออู้ เป็นซอ ๒ สาย ตัวกะโหลกซอทำด้วยกะลามะพร้าวชนิดกลมรีขนาดใหญ่ ใช้หนังแพะหรือหนังลูกวัวขึงขึ้นหน้า คันซอ หรือ "ทวน" ทำด้วยไม้จริง เช่น ไม้แก้ว หรือทำด้วยงาช้างตันก็มี ที่หน้าซอตรงกลางที่ขึ้นหนัง ใช้ผ้าม้วนกลมๆ เป็นหมอนหนุนสายให้พันหน้าซอ คันชัก ทำด้วยไม้จริงหรืองา ใช้ขนหางม้าประมาณ ๑๖๐-๒๐๐ เส้น สำหรับขึ้ยสายคันชัก เหมือนสายกระสุน หรือหน้าไม้ ซออู้ ใช้บรรเลงร่วมในวงเครื่องสาย วงมโหรี วงปี่พาทย์ไม้นวม และวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
ซออู้ เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย ที่ใช้วิธีการสี กล่องเสียงทำด้วยกะโหลกมะพร้าวฉลุสลักลวดลายเป็นช่องเสียง ซออู้มี ๒ สาย บรรเลงในวงดนตรีประเภทต่างๆ เช่น วงเครื่องสาย วงมโหรี วงปี่พาทย์ไม้ันวม การแสดงหุ่นกระบอก ฯลฯ เสียงของซออู้มีระดับต่ำ จึงเรียกว่าซออู้ ตามเสียงที่ได้ยิน ซออู้ทำหน้าที่ดำเนินทำนองและหยอกล้อทำนองกับซอด้วง
ลักษณะและส่วนประกอบของซออู้
คันทวน แบ่งออกเป็นสองตอนใหญ่ๆ คือ คันทวนบน และคันทวนล่าง คันทวนบน คือบริเวณที่เป็นตำแหน่งของลุกบิด และคันทวนล่าง เป็นบริเวณทำแหน่งที่ติดกับกะโหลกซอ
ลูกบิด มี 2 อัน โดยแบ่งเป็นลูกบิดสายทุ้ม และลูกบิดสายเอก โดยลูกบิดในตำแหน่งบนจะเป็นของสายทุ้ม และลูกบิดในตำแหน่งล่างจะเป็นสายเอก
สายซอ สายซอมี 2 เส้น คือสายทุ้ม และสายเอก สายทุ้มให้เสียงต่ำ และสายเอกให้เสียงที่สูงกว่า สายซอทำด้วยไหม หรือเชือกควั่นเกลียวให้ได้ขนาด ปัจจุบันมีการใช้สายไนล่อน หรือสายโลหะด้วย
รัดอก เป็นเชือกมีขนาดพอๆ กับสายซอ มีหน้าที่เกี่ยวคันทวน กับสายซอ เพื่อกำหนดระดับเสียง
กะโหลกซอ ทำด้วยมะพร้าวพันธุ์พิเศษ ปาดหน้าออกด้านหนึงเพื่อขึงหนังหน้าซอ
หน้าซอ ขึงด้วยหนังแพะ หรือหนังลูกวัว
หมอน มีลักษณะเป็นผ้าพันม้วน หรือกระดาษ หรือวัสดุหรือ มีรูปร่างกลม หรืออย่างกลม มีหน้าที่เป็นสะพานเสียง รองรับสายซอกับหน้าซอ
คันชัก มีรูปร่างคล้ายคันธนู หรือหน้าไม้ มีหางม้าสำหรับเสียดสีสายซอให้เกิดเสียง ซึ่งจะอยู่ระหว่างสายทุ้มและสายเอก ประกอบไปด้วยหางม้า ๑๕๐-๒๐๐ เส้น ปัจจุบันมีการนำไนล่อน หรือเอ็นขนาดเล็กมาใช้ทดแทน หางม้าซึ่งหายากและราคาแพง
วิธีการเก็บรักษา และซ่อมแซม
1. เมื่อเล่นเสร็จแล้วให้ลดสายประมาณครึ่งรอบลูกบิด หรือเลื่อนหมอนขึ้นไปไว้บนขอบกะโหลก
2. แขวน หรือใส่ถุงเก็บในตู้ให้มิดชิด
3. การใส่สายเอก-ทุ้ม ใส่สายเอก (จะเล็กกว่าสายทุ้ม) ที่ปลายลูกบิดสายเอกซึ่งอยู่ด้านล่างจะอยู่สายนอก ใส่สายทุ้มที่ปลายลูกบิดสายทุ้มซึ่งอยู่บน สายจะอยู่ด้านในหมุนลูกบิดกลับทางกัน
4. การหยอดยางสนบนกะโหลกซอ ให้หยอดเฉพาะตำแหน่งที่หางม้าผ่านเท่านั้น หากฝุ่นยางสนเกาะขอบกะโหลกซอ เมื่อเล่นแล้วต้องเช็ดให้สะอาด
5. หากสายขาดบ่อยครั้งหาสายไม่ได้ ให้ใช้เอ็นเบอร์ 90 แทนสายเอก และเบอร์ 110 หรือ 120 แทนสายทุ้ม
6. การรัดอก ให้รัดต่ำจากลูกบิดสายเอกลงมาประมาณ 12 เซนติเมตร และส่วนที่เหลือจากรัดออก ถึงหมอนซอ ประมาณ 36 เซนติเมตร รัดอกให้ลึกประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร
7. ยางสนทำให้เกิดความหนืดระหว่างหางม้ากับสายซอเป็นจุดเกิดเสียง และกะโหลกซอ เป็นส่วนขยายเสียง โดยมีหมอนเป็นสะพานเสียง
8. หมอนซออู้จะใช้ไม้ระกำหุ้มด้วยผ้า หรือยางลบก้อนตัดแบ่งครึ่งหุ้มด้วยผ้า หรือถ้าหาไม่ได้ให้ใช้กระดาษท้วนเป็นก้อนกลมแทน
แถมท้ายด้วยบทเพลงจากภาพยนตร์เรื่อง "โหมโรง" คือเพลง "คำหวาน" ซึ่งหวานสมชื่อ ใครมาเล่นเพลงนี้ให้นะ รักตายเลย...๕๕๕
นอกจากคนเขียนจะมีความหลงใหลในดนตรีคลาสสิกแล้ว คนเขียนก็รักดนตรีไทยอย่างมากด้วยค่ะ (รักนักดนตรีไทยด้วยแหละ ๕๕๕+) วันนี้เลยอยากจะนำเสนอเครื่องดนตรีไทยชนิดหนึ่ง ที่คนเขียนกำลังฝึกเล่นอยู่นะคะ นั่นก็คือ "ซออู้" นั่นเอง
ซออู้ เป็นซอ ๒ สาย ตัวกะโหลกซอทำด้วยกะลามะพร้าวชนิดกลมรีขนาดใหญ่ ใช้หนังแพะหรือหนังลูกวัวขึงขึ้นหน้า คันซอ หรือ "ทวน" ทำด้วยไม้จริง เช่น ไม้แก้ว หรือทำด้วยงาช้างตันก็มี ที่หน้าซอตรงกลางที่ขึ้นหนัง ใช้ผ้าม้วนกลมๆ เป็นหมอนหนุนสายให้พันหน้าซอ คันชัก ทำด้วยไม้จริงหรืองา ใช้ขนหางม้าประมาณ ๑๖๐-๒๐๐ เส้น สำหรับขึ้ยสายคันชัก เหมือนสายกระสุน หรือหน้าไม้ ซออู้ ใช้บรรเลงร่วมในวงเครื่องสาย วงมโหรี วงปี่พาทย์ไม้นวม และวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
ซออู้ เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย ที่ใช้วิธีการสี กล่องเสียงทำด้วยกะโหลกมะพร้าวฉลุสลักลวดลายเป็นช่องเสียง ซออู้มี ๒ สาย บรรเลงในวงดนตรีประเภทต่างๆ เช่น วงเครื่องสาย วงมโหรี วงปี่พาทย์ไม้ันวม การแสดงหุ่นกระบอก ฯลฯ เสียงของซออู้มีระดับต่ำ จึงเรียกว่าซออู้ ตามเสียงที่ได้ยิน ซออู้ทำหน้าที่ดำเนินทำนองและหยอกล้อทำนองกับซอด้วง
ลักษณะและส่วนประกอบของซออู้
คันทวน แบ่งออกเป็นสองตอนใหญ่ๆ คือ คันทวนบน และคันทวนล่าง คันทวนบน คือบริเวณที่เป็นตำแหน่งของลุกบิด และคันทวนล่าง เป็นบริเวณทำแหน่งที่ติดกับกะโหลกซอ
ลูกบิด มี 2 อัน โดยแบ่งเป็นลูกบิดสายทุ้ม และลูกบิดสายเอก โดยลูกบิดในตำแหน่งบนจะเป็นของสายทุ้ม และลูกบิดในตำแหน่งล่างจะเป็นสายเอก
สายซอ สายซอมี 2 เส้น คือสายทุ้ม และสายเอก สายทุ้มให้เสียงต่ำ และสายเอกให้เสียงที่สูงกว่า สายซอทำด้วยไหม หรือเชือกควั่นเกลียวให้ได้ขนาด ปัจจุบันมีการใช้สายไนล่อน หรือสายโลหะด้วย
รัดอก เป็นเชือกมีขนาดพอๆ กับสายซอ มีหน้าที่เกี่ยวคันทวน กับสายซอ เพื่อกำหนดระดับเสียง
กะโหลกซอ ทำด้วยมะพร้าวพันธุ์พิเศษ ปาดหน้าออกด้านหนึงเพื่อขึงหนังหน้าซอ
หน้าซอ ขึงด้วยหนังแพะ หรือหนังลูกวัว
หมอน มีลักษณะเป็นผ้าพันม้วน หรือกระดาษ หรือวัสดุหรือ มีรูปร่างกลม หรืออย่างกลม มีหน้าที่เป็นสะพานเสียง รองรับสายซอกับหน้าซอ
คันชัก มีรูปร่างคล้ายคันธนู หรือหน้าไม้ มีหางม้าสำหรับเสียดสีสายซอให้เกิดเสียง ซึ่งจะอยู่ระหว่างสายทุ้มและสายเอก ประกอบไปด้วยหางม้า ๑๕๐-๒๐๐ เส้น ปัจจุบันมีการนำไนล่อน หรือเอ็นขนาดเล็กมาใช้ทดแทน หางม้าซึ่งหายากและราคาแพง
วิธีการเก็บรักษา และซ่อมแซม
1. เมื่อเล่นเสร็จแล้วให้ลดสายประมาณครึ่งรอบลูกบิด หรือเลื่อนหมอนขึ้นไปไว้บนขอบกะโหลก
2. แขวน หรือใส่ถุงเก็บในตู้ให้มิดชิด
3. การใส่สายเอก-ทุ้ม ใส่สายเอก (จะเล็กกว่าสายทุ้ม) ที่ปลายลูกบิดสายเอกซึ่งอยู่ด้านล่างจะอยู่สายนอก ใส่สายทุ้มที่ปลายลูกบิดสายทุ้มซึ่งอยู่บน สายจะอยู่ด้านในหมุนลูกบิดกลับทางกัน
4. การหยอดยางสนบนกะโหลกซอ ให้หยอดเฉพาะตำแหน่งที่หางม้าผ่านเท่านั้น หากฝุ่นยางสนเกาะขอบกะโหลกซอ เมื่อเล่นแล้วต้องเช็ดให้สะอาด
5. หากสายขาดบ่อยครั้งหาสายไม่ได้ ให้ใช้เอ็นเบอร์ 90 แทนสายเอก และเบอร์ 110 หรือ 120 แทนสายทุ้ม
6. การรัดอก ให้รัดต่ำจากลูกบิดสายเอกลงมาประมาณ 12 เซนติเมตร และส่วนที่เหลือจากรัดออก ถึงหมอนซอ ประมาณ 36 เซนติเมตร รัดอกให้ลึกประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร
7. ยางสนทำให้เกิดความหนืดระหว่างหางม้ากับสายซอเป็นจุดเกิดเสียง และกะโหลกซอ เป็นส่วนขยายเสียง โดยมีหมอนเป็นสะพานเสียง
8. หมอนซออู้จะใช้ไม้ระกำหุ้มด้วยผ้า หรือยางลบก้อนตัดแบ่งครึ่งหุ้มด้วยผ้า หรือถ้าหาไม่ได้ให้ใช้กระดาษท้วนเป็นก้อนกลมแทน
แถมท้ายด้วยบทเพลงจากภาพยนตร์เรื่อง "โหมโรง" คือเพลง "คำหวาน" ซึ่งหวานสมชื่อ ใครมาเล่นเพลงนี้ให้นะ รักตายเลย...๕๕๕
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)