สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่าน คนเขียนไม่ได้อัพบล็อกเสีียนาน เพราะว่ามัวแต่ทำงานอย่างอื่น ถึงจะมีโอกาสอยู่หน้าคอมฯก็ไม่ได้เปิดบล็อกเลย -*- ต้องขออภัยจริงๆ
วันนี้คนเขียนขอนำเสนอ อีกหนึ่งในคำถามที่อาจารย์เคยถาม ในคาบเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศส ที่ว่า
"ศิลปะแขนงที่ 7 คืออะไร???"
พอคนเขียนมานับๆดู เท่าที่รู้ก็จะมี จิตรกรรม ประติมากรรม สถาัปัตยกรรม วรรณกรรม คีตกรรม (ดนตรี) และการพิมพ์ภาพ
เอ...แล้วมันมาจากไหนอีกอันหว่า??? -*-
พอไปเสิร์ชใน Google ดู ว่า "ศิลปะแขนงที่ 7"
ก็ได้พบคำตอบว่า ศิลปะแขนงนี้ เป็นศิลปะที่ใกล้ตัวเรามากๆ นั่นก็คือ "ภาพยนตร์"
พอนึกถึงภาพยนตร์ปุ๊บ ชื่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ลอยมาปั๊บ!!!
เชคสเปียร์...ต้องตาย (Shakespeare Must Die)
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นที่รู้จักมาก เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากไม่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ (กองเซ็นเซอร์) กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
ว่าแต่...เขาจะแบนทำไม เนื้อหาของเรื่องจะเป็นอย่างไร คนเขียนขออนุญาต พาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับภาพยนตร์เรื่องนี้กันนะคะ ^^
เชคสเปียร์ต้องตายใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบละครซ้อนละคร ดำเนินเรื่องควบคู่กันไป มีเหตุการณ์สองส่วน คือ
ละครเวที และโลกภายนอกในเหตุการณ์ร่วมสมัย มีตัวละครนำชื่อ "เมฆเด็ด" (Mekhdeth) เป็นขุนนางที่ล้มอำนาจกษัตริย์ และสถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ เมฆเด็ดลุ่มหลงในอำนาจ เกิดหวาดระแวงว่าจะถูกล้มล้าง จนต้องฆ่าใครต่อใครเพื่อจะได้อยู่ในอำนาจต่อไป เรื่องราวทั้งหมดเล่าผ่านมุมมองของตัวละครที่ชื่อว่า "บุญรอด"
[4]
นักแสดง
Macbeth, Thane of Glamis | เมฆเด็ด / ท่านผู้นำ | พิศาล พัฒนพีระเดช[12] |
Lady Macbeth | คุณหญิงเมฆเด็ด | ธาริณี เกรแฮม |
Macduff, Thane of Fife | เมฆดับ | ชัชดนัย มุสิกไชย |
Lady Macduff | คุณหญิงเมฆดับ | ภิสสรา อุมะวิชนี |
Macduff's son | ลูกสาวเมฆดับ | น้ำอบ เสมสีสม |
Banquo | บางโค (เพื่อนเมฆเด็ด) | ต่อตระกูล จันทิมา |
Three Witches | แม่มด | ม.ร.ว. สายสิงห์ ศิริบุตร
Aaliyah S
ชมวรรณ วีระวรวิทย์ |
Hecate | เจ้าแม่ | ปิณิดา คงสิริ |
Duncan (กษัตริย์สกอตแลนด์) | ดังแคน | นิวัติ กองเพียร |
Malcolm | มั่นคำ (ลูกชายดังแคน) | น้ำมนต์ จ้อยรักษา |
Donalbain | ดอนเพ็ญ (ลูกชายดังแคน) | พีร์ ภานุวัฒน์วนิชย์ |
Siward, Earl of Northumberland | บุญรอด | สกุล บุณยทัต |
Siward's son | เปลี่ยน | ปรัชญ์ภูมิ บุณยทัต |
Seyton | ศรีตาล (คนใช้เมฆเด็ด) | ปิยทัต เหมทัต |
*********************************************************************
ทีนี้ เรามาดู วาระการพิจารณาว่่าทำไมถึงโดนแบน กันดีกว่าค่ะ
วาระการพิจารณา 3 เมษายน 2555 17:56 วาระการพิจารณา:
คณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า ภาพยนตร์เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย (Shakespeare Must Die) มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ตามกฏกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ พ.ศ.๒๕๕๒ ข้อ ๗ (๓) จึงมีมติ ไม่อนุญาต โดยจัดเป็นประเภทภาพยนตร์ที่ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๒๖ (๗) แห่งพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑
แถลงการณ์ผู้กำกับ ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ 20 มีนาคม 2555
คุณสมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ เขียนบทแถลงการณ์ (แถลงการณ์ผู้กำกับ ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ 20 มีนาคม 2555 11:49)นี้ขึ้นมาขณะที่กำลังเตรียมใจส่ง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ ไปให้กองเซ็นเซอร์พิจารณา เหมือนจะรู้ว่าหนังเรื่องนี้จะต้องเผชิญกับชะตากรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไปในทางที่ไม่พึงประสงค์ของผู้สร้างงานศิลปะ สาเหตุอาจจะมิใช่เพราะหนังได้รับเงินสนับสนุนมาจากโครงการไทยเข้มแข็ง เท่านั้น ซึ่งเป็นโครงการเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยงบประมาณประเทศเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศในช่วงที่ประเทศกำลังบอบช้ำจากการประท้วงของคนกลุ่มหนึ่ง โดยโครงการนี้เป็นนโยบายของรัฐบาลชุดก่อน ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เหตุผลต่างๆ ที่ถูกแบนส่วนหนึ่งคงเป็นคำเฉลยที่มีมาจากทีมงานผู้ผลิตหนังเรื่องนี้
ส่วนเหตุผลของทางฝ่ายคณะผู้พิจารณาอนุญาตไม่ให้ฉายหนังเรื่องนี้ได้ในประเทศไทยก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ “ไม่ตรงกัน” และก็แน่นอนว่า ศิลปะไม่ว่าด้านใด สาขาใด หรือเรื่องใด การมีมุมมองต่องานศิลปะแต่ละภาคส่วนย่อมมีความเห็นแตกต่างกันออกไป เช่นเดียวกันกับที่เคยมีมุมมองต่อภาพวาดทางศิลปะ “ภิกษุสันดานกา” ซึ่งสะท้อนภาพความเป็นจริงของพระสงฆ์ในศาสนาพุทธก็เคยถูกตำหนิจากฝ่ายคุมกฎพระพุทธศาสนา
คำร้องเรียนต่อมวลชนของคุณสมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ซึ่งได้ทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นของหนังเรื่องนี้ โดยได้กล่าวว่า
“......ตั้งแต่จำความได้ ฉันไม่เคยเห็นเมืองไทยอารมณ์เลวร้ายเท่ากับยามนี้ ทุกอณูอากาศ ทุกผงธุลี เปี่ยมล้นด้วยความโกรธ เกลียดชัง ความเศร้า ความสิ้นศรัทธา
จึงค่อนข้างแน่นอนว่าทั้งกองเซ็นเซอร์และฝ่ายอื่นๆ ย่อมตั้งคำถามลักษณะนี้กับเรา: พวกคุณไม่เกรงกลัวหรือว่าหนังเรื่องนี้อาจทำให้สังคมแตกแยกยิ่งขึ้น?; คุณมีอคติต่อเสื้อแดงหรือเปล่า?; คุณไม่กลัวเสื้อแดงมาฆ่าหรอกเหรอ?; หนังเรื่องนี้เป็นการโจมตีครอบครัวชินวัตรใช่ไหม?; หรือว่าเป็นการโจมตีพระราชวงศ์จักรี? (ในเมื่อคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกำลังแพร่หลายระบาด ต้องขอยืนยันตรงนี้ว่าทุกพยางค์ของฉากนั้นมาจากต้นฉบับของเชคสเปียร์ มันคือการถกเถียงเรื่องพระราชอำนาจและบารมีของพระมหากษัตริย์ อันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ฟ้าประทานมา [Divine Right of Kings] ซึ่งสรุปใจความว่ากษัตริย์นั้นศักดิ์สิทธิ์ตราบใดที่องค์กษัตริย์ทรงมีความประพฤติที่ศักดิ์สิทธิ์ ตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรม และการถกเถียงนี้ในแก่นสารครอบคลุมถึงผู้นำและนักปกครองทุกประเภท); หนังเรื่องนี้รื้อฟื้นบาดแผลสังคมทั้งเก่าและใหม่โดยไม่จำเป็นหรือไม่?; ทำไมคุณหญิงเมฆเด็ด (เลดี้แม็คเบ็ธ) จึงเรียกปีศาจร้ายให้เข้ามาสิงตัวเธอ ขณะที่กำลังพนมมืออยู่หน้าพระพุทธรูป? ฯลฯ
********************************************
และความตอนหนึ่งกล่าวอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนว่า
“.......... ศิลปะจำเป็นต้อง‘เป็นกลาง’และ ‘ยุติธรรม’ด้วยหรือ? แทนที่จะมาเรียกร้องหาสิ่งนี้จากหนังผีทุนต่ำของเรา ทำไมคุณไม่ตั้งคำถามกับการที่หนังสือนิวส์วีคยกย่องยิ่งลักษณ์เป็นวีรสตรี--เคียงบ่าเคียงไหล่กับ ออง ซาน ซู จี และฮิลลารี คลินตัน—ประมาณว่าแม่พระผู้ส่งเสริมความสมานฉันท์ และจัดการน้ำท่วมได้อย่างเก่งกาจ)”
“.......‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ คือ จุดรวมฝันร้ายของเรา นี่คือมโนภาพแห่งความสยองขวัญของเรา .....”
“...เราดูดซึมยาพิษจากยุคสมัยมาถักทอเป็นภาพต้องมนต์สะกดเพื่อความสนุกเพลิดเพลินของคนดู ...”
“หนังผี-หนังสยองขวัญ จะทำหน้าที่ของมัน--คือไล่ผีและปลดปล่อยปมขมวดทางจิตให้เรา--ได้สำเร็จก็ต่อเมื่อมันไม่หลีกเลี่ยงสารพิษในผืนดินถิ่นกำเนิดของมัน แต่พร้อมที่จะหยั่งรากลึกลงไปในก้นบึ้งของพิษร้ายนั้นอย่างเต็มอกเต็มใจและเต็มที่
ในฐานะนักทำหนังทุนต่ำที่มีปูมหลังเป็นนักข่าว ฉันอดใจไม่ได้ที่จะไม่ออกไปถ่ายภาพความวินาศสันตะโร ทั้งที่ไฟไหม้เซ็นทรัลเวิร์ลด์ยังไม่ทันดับ โดยเฉพาะโรงหนังสยามอันเป็นที่รัก พร้อมกับหน้ากากกรีกฝาแฝดแห่งการละคร ที่พักตร์หนึ่งเศร้า(โศกนาฎกรรม) และพักตร์หนึ่งหัวร่อ(ตลกหรรษา) ซึ่งผ่านกองเพลิงมาได้โดยไม่เป็นอะไรเลย เช่นเดียวกับแผ่นโปสเตอร์โฆษณาหนังรักตลกของเจนนิเฟอร์ อนิสตัน ที่กำลังฉายอยู่ ผู้กำกับงบน้อยต้องไขว่คว้า ต้องฉกฉวยทุกของถูกของฟรี ทุกโอกาสที่จะเติมความอลังการให้แก่หนัง ไม่มีทางเลยที่เราจะสร้างภาพมหากาพย์แบบนี้ขึ้นมาได้เองจากปัจจัยที่มีอยู่ ในเมื่อมันเจ๋งและเป็นของฟรี ฉันไม่อาจปฏิเสธของขวัญที่ฟ้าประทานมาให้บนถาดเงิน
ภาพหลังแทนกรีนสกรีนหลังแม่มดในฉากนั้น เดิมจะเป็นการฉายซ้ำของน้ำตกไนแองการ่าเป็นเลือด (นี่ก็ของฟรีเหมือนกัน ที่รีบคว้ามาจากการได้ตั๋วฟรีไปเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตกับ ‘พลเมืองจูหลิง’ หนังเรื่องก่อน) แต่มันย่อมตกกระป๋องไป ในเมื่อเรามีไฟล์ภาพซากตอตะโกของเซ็นทรัลเวิร์ลด์กับหน้ากากโรงหนังสยาม
*******************************************
ส่วนการ“รื้อฟื้นแผลเก่า” ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ของช่างภาพสำนักข่าวเอพี นีล ยูเลฟวิช รูปไทยมุงรอบชายในเสื้อซาฟารี ที่ใช้เก้าอี้เหล็กตีศพนักศึกษาที่ถูกแขวนคอกับต้นไม้กลางสนามหลวง เรื่องนี้ ฉันคงต้องโยนคำถามกลับมาให้ตอบกับตัวคุณเองว่า มันจำเป็นหรือไม่ที่จะท้าวความถึง 6 ตุลา มหาวิปโยค? เหตุการณ์นั้นมีชนวนอ้างอิงเป็นการแสดงละครประท้วงเช่นกัน โปรดสังเกตด้วยว่าโฟกัสในฉากนี้จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าบรรดากองเชียร์ ไม่ใช่กับศพและชายที่ฟาดเก้าอี้ สิ่งที่ฝังใจเรามากกว่า คือคนที่เรียกกันว่าคนธรรมดา รวมทั้งเด็กๆ ที่มายืนหัวเราะและสนับสนุนยุยง ภาพข่าวภาพนี้ ติดตาตำใจและจิตวิญญาณวัยรุ่นทึ่มๆของฉัน ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นในปี๒๕๑๙ จนกลายมาเป็นความหมกมุ่นส่วนตัวมาตลอดชีวิต ภาพนี้หลอกหลอนเราด้วยความหวาดหวั่น—แบบเด็กกลัวผี--ว่าจะถูกเข่นฆ่าโดยอันธพาลคลั่งเจ้าและลูกเสือชาวบ้าน และด้วยความรู้ซึ้งคาใจว่า คนธรรมดาอาจกลายเป็นฆาตกร และเมืองไทยกลายเป็นรวันดา๑๙๙๔ ได้ภายในพริบตาเดียว หากว่าถูกยุยั่วปั่นหัวเป็นหางโดยนักโฆษณาชวนชั่วอย่างถูกจุด มาถึงวันนี้ แทนที่จะเป็นอันธพาลคลั่งเจ้าที่เราต้องกลัว เรามีกลุ่มคนบ้าคลั่งกลุ่มอื่นที่ไร้เหตุผลและนิยมความรุนแรงอย่างแท้จริง อันเป็นผลงานมหกรรมปั่นหัวโดยเครื่องจักรทักษิณ ดังนั้น ไม่ว่าเขาจะอ้างว่าเขาเป็นซ้ายหรือว่าเป็นขวาไม่ใช่ประเด็น แต่คนลักษณะนี้ทำให้ชีวิตของเราและของบ้านเมืองไร้เหตุผลและเสียสติ ทำให้ความสงบเหือดหายและเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับเยอรมันกับนาซี เราควรให้ลูกหลานทุกคนได้เห็นภาพนี้ เราควรจดจำมันไว้เสมอ ไม่ใช่เพื่อโหมไฟอาฆาตพยาบาทต่อกัน แต่เพื่อเตือนใจทุกคน รวมทั้ง‘คนดี’ อย่างที่เราคิดว่าเราเป็นด้วย ที่อาจกลายเป็นปีศาจได้ ถ้าถูกยั่วยุเกินทน
*****************************************************
ต่อให้ไม่นับมรดกทางวัฒนธรรมอันนี้ ต้องยอมรับว่าสีแดงเป็นสีสากลที่หมายถึงเลือดและความรุนแรง หนังแต่ละเรื่องต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะถึงจอ กว่าจะเขียนบท กว่าจะหาทุน กว่าจะหานักแสดงครบ ฯลฯ ทักษิณมีสิทธิผูกขาดการใช้สีแดงเช่นเดียวกับที่เขาต้องการผูกขาดทุกสิ่งทุกอย่าง…อย่างนั้นหรือ? ในการสร้างหนังผีเชคสเปียร์ของเรา ฉันปฏิเสธที่จะเล่นตามบทและกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นโดยคนเขียนบทของทักษิณ คุณอาจเลือกที่จะทำตามกติกาเหล่านั้นที่เขากำหนดขึ้นมาลอยๆ นั่นเป็นการตัดสินใจของคุณ มันไม่ใช่เรื่องของฉัน (ถ้าโชคดี คุณอาจได้ประโยชน์จากมันก็เป็นได้ มีข่าวร่ำลือหนาหูในหมู่นักทำหนังว่า ทักษิณกำลังช็อปปิ้งหาผู้กำกับทำหนังชีวประวัติของเขา ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง ย่อมไม่ใช่หนังทุนต่ำแน่นอน) หากว่าความคิดเช่นนี้ทำให้ฉัน“ไม่เป็นประชาธิปไตย” และทำให้ยากลำบากในการนำ ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ ออกมาสู่สายตาโลก มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ
ด้วยความนับถือ
สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ กทม., ๑๙ มี.ค. ๕๕
ที่มา : เชคสเปียร์ต้องตาย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี