สดๆร้อนๆ กับเมื่อกี้ ที่เอ่ยถึง ดอกไม้สีเหลืองสะพรั่งสวยงาม สดใสเสียเหลือเกิน ซึ่งคนเขียนคิดว่า น่าจะเป็นต้นนี้นะคะ
เหลืองปรีดียาธร
สายพันธ์เดียวกับต้นชมพูพันธ์ทิพย์ เป็นต้นไม้ที่ท่านหม่อมพันธ์ทิพย์ บริพัตร นำมาจากอินโดนีเชีย ดอกสีชมพู จึงตั้งชื่อว่า "ชมพูพันธ์ทิพย์" ชื่อ อื่น ๆ ชมพูอินเดีย ธรรมบูชา ชื่อสามัญ Pink Trumpet Tree ส่วนชื่อจริง(ชื่อวิทยาศาสตร์ ) ซึ่งมีหนึ่งเดียวในโลก เรียกว่า Tabebuia rosea (Bertol.) DC. ท่าน อ่านเอาเองก็แล้วกันว่า ตาเบบูย่า ตาเบบูญ่า ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ใช้ตัว ย. หรือ ญ. เพราะตามหลักการถอดอักษรไทยเป็นอักษรโรมันแบบถ่ายเสียง ญ. และ ย. ก็ใช้ตัว Y เหมือนกัน ถ้าถอดเสียงตามหลักแล้ว Tabebuia มันก็น่าจะออกเสียงเป็น ตาเบบูเอียะ หรือ ตาเบบูเอีย เพราะ ia ออกเสียง เอียะ และ เอีย (ตามที่ราชบัณฑิตยสถานเขากำหนด) ...ถ้าอยากรู้ว่าเขียนอย่างไรถูกคงต้องไปดูศัพท์บัญญัติทางพฤษศาสตร์ อีกครั้งหนึ่ง ขอติดไว้ก่อนก็แล้วกันนะครับ
ชื่อ เหลือง ปรีดียาธร ดอกสีเหลืองที่บานทั่วไปในกรุงเทพฯ ที่ชื่อตามนามผู้นำเข้ามาเช่นกัน
ชื่อพื้นเมืองอื่น: ตาเบบูยาเหลือง
ชื่อสามัญ : Silver trumpet tree, Tree of gold, Paraguayan silver trumpet tree ...
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tabebuia argentea Britt
วงศ์: BIGNONIACEAE
ถิ่นกำเนิด: อเมริกากลางและหมู่เกาะอินดีสตะวันตก
ประเภท: ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงไม่เกิน 8 เมตร เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ เรือนยอดรูปไข่ เปลือกต้นสีน้ำตาล แตกเป็นร่องขรุขระ ลักษณะเป็นไม้เนื้ออ่อน กิ่งก้านเปราะหักง่าย แตกกิ่งก้านเป็นชั้น โตช้า เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วน ระบายน้ำดี แดดจัด
ใบ: เป็นใบประกอบประกอบด้วยใบย่อย 5 ใบ ลักษณะใบหนาแข็ง และมีขนนุ่ม มีสีเขียวอมขาว
ดอก: มีสีเหลืองสด ออกเป็นช่อๆ ละ 3-10 ดอก ลักษณะกลีบดอกติดกัน ก้านดอกเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 กลีบ เมื่อดอกร่วงจะติดฝักและมีเมล็ด ขั้วดอกเหนียวและดอกจะร่วงยากกว่าเหลืองอินเดีย ดอกออกมากแต่ยังมีใบคงอยู่บนต้นมากไม่ร่วงหมดต้น ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม
ผล: เป็นฝัก ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร สีเทา มีเส้นสีดำ
การขยายพันธุ์: ด้วยการเพาะเมล็ด และการตอน แต่การตอนจะโตได้เร็วกว่า
การดูแล: ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้รวดเร็ว
ต้นไม้ตระกูลนี้ไม่ชอบน้ำมาก
ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ ถ้าท่านขับรถพาครอบครัวไปเที่ยวหัวหิน ก็ยังมีดอกเหลืองปรีดียาธรให้ชมกันอย่างเต็มตาทีเดียว
ที่มา : ครูแหลม ---> http://laemkom.multiply.com/photos/album/31
ที่คนเขียนจำต้นไม้ต้นนี้ได้แม่นเพราะนอกจากจะมีความสวยงามแล้ว
ผู้นำเข้าก็คือคุณพ่อของอดีตไอดอลของคนเขียนนั่นก็คือ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล หรือที่รู้จักกันในนาม "หม่อมอุ๋ย" นั่นละค่ะ
เพราะฉะนั้นสุดที่เลิฟของคนเขียนก็คือ หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ "คุณปลื้ม" นั่นเอง (น่าร้ากกกอ้ะ ^^)
อ๊า......หมดเวลาแล้ว เด๊ยวพรุ่งนี้จะมาอัพข้อมูลและรูปเพิ่มเติมนะคะ ^^
ขอแปะลิงค์ไปตรงนี้(กันลืม) และเผื่อใครอดใจไม่ไหวไปดูล่วงหน้าได้เลยนะคะ อิอิ
http://www.pantip.com/cafe/gallery/topic/G6295360/G6295360.html
http://laemkom.multiply.com/photos/album/31
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rabbit-in-the-shadow&month=22-02-2008&group=3&gblog=7
แล้วพบกันใหม่ค่ะ ^^
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554
โมเสส
คือผู้นำศาสนาของชนชาติยิวก่อนที่จะมีพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู โมเสสเป็นทั้งผู้บัญญัติกฎ ผู้พยากรณ์ นักประวัติศาสตร์ และยังเป็นผู้ถ่ายทอดคัมภีร์โตราห์หรือหนังสือห้าเล่มในพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเดิม อีกทั้งยังเป็นผู้พยากรณ์คนสำคัญของอิสลามและศาสนาบาฮาอี
โมเสส ในพระคริตสธรรมคัมภีร์
อัตชีวประวัติของท่านที่ได้บันทึกไว้ในพระธรรมเบญจบรรณ (พระคัมภีร์ห้าเล่มแรก ที่เชื่อกันว่า โมเสสเป็นผู้เรียบเรียงขึ้น)
ต้นตระกูลโมเสส พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวไว้ว่า โมเสสเกิดในตระกูลเลวี บิดาชื่อ อับราม มารดาชือ โยเคเบด มีพี่ชาย คือ อาโรน[1] ก่อนหน้าโมเสสเกิด ฟาโรห์แห่งอียิปต์ เห็นว่าชาวยิวมีจำนวนมากและแข็งแกร่ง จึงต้องการลดปริมาณชาวยิวลง โดยมีคำสั่งให้อิสราเอลนำเด็กเกิดใหม่ที่เป็นเพศชาย ทิ้งลงแม่น้ำไนล์ แต่มารดาของโมเสสได้ซ่อนโมเสสไว้ จนกระทั่งถึงวัยที่ไม่สามารถจะหลบซ่อนได้อีก มารดาจึงนำโมเสสใส่ตะกร้าวางไว้ในกอไม้ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ เมื่อธิดาฟาโรห์ลงมาสรงนำ จึงเจอทารกน้อยโมเสส จึงนำไปเลี้ยงดู ชื่อของโมเสส แปลว่า "ฉุดขึ้นมาจากน้ำ" โมเสสได้โตขึ้นมาโดยมีมารดาเป็นแม่นมของตนเอง
โมเสสฆ่าคนอียิปต์
แม้โมเสสจะโตขึ้น โดยการเลี้ยงดูของธิดาฟาโรห์ แต่ยังคงเป็นคนรักในความเป็นอิสราเอล และพบเห็นว่าคนอิสราเอลต้องตรากตรำทำงานหนัก วันหนึ่งขณะโมเสสไปอยู่ท่ามกลางชาวอิสราเอล พบชาวอียิปต์กำลังตีคนอิสราเอล เมื่อมองดูว่าไม่มีใคร โมเสสจึงฆ่าชาวอียิปต์คนนั้น และฝังซ่อนไว้ในทราย
วันรุ่งขึ้น ขณะโมเสสกำลังเดินอยู่ พบชาวอิสราเอลกำลังทะเลาะกัน จึงเข้าไปเตือน แต่กลับถูกย้อนว่า "ใครตั้งท่านให้เป็นเจ้านาย และเป็นตุลาการปกครองข้าพเจ้า ท่านตั้งใจจะฆ่าข้าพเจ้า เหมือนกับที่ได้ฆ่าคนอียิปต์คนนั้นหรือ"
เมื่อโมเสสได้ยินดังนั้น ก็ตกใจ และทราบว่าเรื่องนี้ลือกันไปทั่วแล้ว จึงหลบหนีออกไปอยู่ที่เมืองมีเดียน โดยอาศัยอยู่กับเยโธร ปุโรหิตของเมืองนั้น
พระเจ้าทรงเรียกโมเสส
ภายหลังจากฟาโรห์สิ้นพระชนม์ ชาวอิสราเอลก็คร่ำครวญกับพระเจ้า พระองค์จึงทรงระลึกถึงชนชาวอิสราเอล พระองค์จึงทรงไปปรากฏต่อหน้าโมเสส เพื่อเป็นผู้นำอิสราเอลให้ออกจากอียิปต์ ไปยังดินแดนคานาอัน อันเป็นดินแดนที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับอับราฮัมว่าจะยกให้แก่พงศ์พันธุ์ของท่าน
เมื่อพระเจ้าทรงเรียกโมเสสนั้น ทรงกระทำหมายสำคัญ 3 ประการเพื่อให้โมเสสตอบรับหน้าที่นี้ หมายสำคัญทั้งสามประการได้แก่
พระเจ้าทรงให้โมเสส โยนไม้เท้าลงบนพื้น และไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู และเมื่อโมเสสจับหางงู งูนั้นก็กลายเป็นไม้เท้าดังเดิม
พระเจ้าทรงให้โมเสส สอดมือไว้ที่อก เมื่อชักมือออกมา มือนั้นก็กลายเป็นเรื้อน และเมื่อสอดมือไว้ที่อกอีกครั้ง มือนั้นก็เป็นปกติ พระเจ้าทรงให้โมเสสตักน้ำมา และเทลงบนพื้น น้ำนั้นก็กลายเป็นเลือดบนดินนั้น แต่ถึงกระนั้น โมเสส ก็ยังคงมีข้อต่อรองกับพระเจ้า ด้วยโมเสสบอกว่าตนเองพูดไม่เก่ง เกรงว่าชาวอิสราเอลจะไม่ยอมฟัง พระเจ้า จึงให้อาโรน พี่ชายของโมเสส ซึ่งเป็นคนพูดเก่ง เป็นผู้ช่วยของเขา
ดังนั้นโมเสสจึงได้ลาพ่อตา และเดินทางกลับไปยังอียิปต์ และพบกับอาโรนเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าให้สำเร็จต่อไป เมื่อโมเสสได้ไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ที่อียิปต์ครั้งนี้ โมเสสมีอายุ 80 ปี และอาโรนมีอายุ 83 ปี
เหตุการณ์สำคัญ
เมื่อโมเสสเข้าเฝ้าฟาโรห์ในครั้งนั้น โมเสสทูลขอให้ฟาโรห์ปล่อยอิสราเอลให้ไปนมัสการพระเจ้าในถิ่นทุรกันดาร (ทะเลทราย) ฟาโรห์ทรงมีพระทัยแข็งกระด้าง และไม่ยินยอมให้อิสราเอลไป ในครั้งนั้น โมเสส และ อาโรน จึงได้รับบัญชาจากพระเจ้าในการทำให้เกิดภัยพิบัติแก่อียิปต์ ถึง 10 ประการ จนในที่สุด ฟาโรห์ และเหล่าข้าราชบริพารจึงพากันขับไล่อิสราเอลออกไปจากอียิปต์
ก่อนภัยพิบัติครั้งสุดท้าย พระเจ้าทรงให้โมเสสนำอิสราเอลประกอบพิธีปัสกาขึ้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ความเป็นอิสราเอลไว้ เพื่อในคืนนั้นพระเจ้าจะผ่านเลยบ้านที่มีเลือดแกะปัสกาป้ายอยู่ แต่บ้านชาวอียิปต์พระเจ้าจะทรงนำเอาบุตรหัวปีของพวกเขาไป พิธีปัสกา จึงเป็นพิธีที่อิสราเอลเฉลิมฉลองถึงเหตุการณ์ความเป็นไท ในครั้งนี้
เมื่อเดินทางมาริมทะเลแดง กองทัพอียิปต์ก็ติดตามอิสราเอลมา เพื่อตามอิสราเอลกลับไปเป็นทาสดังเดิม ครั้งนี้ พระเจ้าทรงให้โมเสสชูไม้เท้าขึ้นเหนือน้ำ ทำให้ทะเลแดงแหวกออก เป็นทางเดินให้อิสราเอลเดินข้ามไป แต่เมื่อกองทัพอียิปต์จะข้ามตาม ทะเลก็กลับคืนดังเดิม และท่วมกองทัพอียิปต์ตายไปเสียสิ้น
เมื่อเดินทางถึงภูเขาซีนาย พระเจ้าทรงเรียกโมเสส ขึ้นไปเข้าเฝ้าพระพักตร์พระองค์ แบบหน้าต่อหน้า และที่ภูเขาซีนายนี่เอง ที่พระเจ้าทรงประทานบัญญัติ 10 ประการมาให้อิสราเอล และประทานกฎหมายข้อบังคับต่าง ๆ ให้แก่พวกเขา
เมื่อออกเดินทางจากภูเขาซีนาย ก็เข้าสู่เขตแดนคานาอัน ในครั้งนั้น โมเสสส่งผู้สอดแนม จากบรรดาหัวหน้าในคนอิสราเอล จำนวน 12 คน (ตามเผ่าของอิสราเอล) ไปดูลาดเลาในคานาอัน ในจำนวนนั้น ยกเว้น โยชูวา และ คาเล็บ ต่างพากันให้ร้ายแก่แผ่นดินคานาอันนั้น เป็นเหตุให้คนอิสราเอลทั้งหลายไม่ยอมเดินทางเข้าแผ่นดินคานาอันตามที่พระเจ้าทรงบัญชา เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้อิสราเอลต้องใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทราย เป็นเวลา 40 ปี นับตามจำนวนวันที่ผู้สอดแนมเดินทางไปดูลาดเลาแผ่นดินนั้น และบรรดาอิสราเอลที่มีอายุเกิน 20 ปีในวันนั้น ยกเว้น โยชูวา และ คาเล็บ ล้วนไม่มีใครได้เข้าไปในแผ่นดินคานาอันเลย
ขณะเมื่ออยู่ในทะเลทราย ช่วง 40 ปีอันโหดร้ายนั้น ครั้งหนึ่งเกิดการกันดารน้ำ ชาวอิสราเอลจึงมาต้ดพ้อโมเสส ในครั้งนี้พระเจ้าตรัสสั่งให้โมเสส ออกไป "บอก" ก้อนหินให้หลั่งน้ำ เพื่อได้มีน้ำใช้ แต่ครั้งนั้นอิสราเอลทำให้โมเสส และอาโรนโกรธอย่างมาก จึงใช้ไม้เท้า ตี หินสองครั้ง น้ำจึงไหลออกมา เหตุการครั้งนั้น พระเจ้านับว่าทั้งสองไม่เชื่อฟังพระองค์ อาโรนและโมเสสจึงไม่ได้สิทธิในการเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน
ชีวิตครอบครัว
เมื่อโมเสสไปอาศัยอยู่กับ เรอูเอล ปุโรหิตแห่งเมืองมีเดียนนั้น เยโธร ได้ยก ศิปโปราห์ บุตรสาวของตนให้โมเสส และมีบุตร ชื่อ เกอร์โชม
บั้นปลายชีวิต
โมเสสใช้เวลาปกครองอิสราเอล และนำอิสราเอลเดินทางผ่านทะเลทราย เป็นเวลา 40 ปี เมื่อท่านอายุได้ 120 ปี ก็สิ้นชีวิต โดยมิได้เข้าไปในแผ่นดินคานาอัน แผ่นดินแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า เพราะการไม่เชื่อฟังพระเจ้าเพียงครั้งเดียว[8] ตามบันทึกพระคัมภีร์กล่าวว่า ศพของโมเสส ถูกฝังไว้ในเขตแดนก่อนเข้าแผ่นดินคานาอันนั่นเอง
โมเสส ในพระคริตสธรรมคัมภีร์
อัตชีวประวัติของท่านที่ได้บันทึกไว้ในพระธรรมเบญจบรรณ (พระคัมภีร์ห้าเล่มแรก ที่เชื่อกันว่า โมเสสเป็นผู้เรียบเรียงขึ้น)
ต้นตระกูลโมเสส พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวไว้ว่า โมเสสเกิดในตระกูลเลวี บิดาชื่อ อับราม มารดาชือ โยเคเบด มีพี่ชาย คือ อาโรน[1] ก่อนหน้าโมเสสเกิด ฟาโรห์แห่งอียิปต์ เห็นว่าชาวยิวมีจำนวนมากและแข็งแกร่ง จึงต้องการลดปริมาณชาวยิวลง โดยมีคำสั่งให้อิสราเอลนำเด็กเกิดใหม่ที่เป็นเพศชาย ทิ้งลงแม่น้ำไนล์ แต่มารดาของโมเสสได้ซ่อนโมเสสไว้ จนกระทั่งถึงวัยที่ไม่สามารถจะหลบซ่อนได้อีก มารดาจึงนำโมเสสใส่ตะกร้าวางไว้ในกอไม้ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ เมื่อธิดาฟาโรห์ลงมาสรงนำ จึงเจอทารกน้อยโมเสส จึงนำไปเลี้ยงดู ชื่อของโมเสส แปลว่า "ฉุดขึ้นมาจากน้ำ" โมเสสได้โตขึ้นมาโดยมีมารดาเป็นแม่นมของตนเอง
โมเสสฆ่าคนอียิปต์
แม้โมเสสจะโตขึ้น โดยการเลี้ยงดูของธิดาฟาโรห์ แต่ยังคงเป็นคนรักในความเป็นอิสราเอล และพบเห็นว่าคนอิสราเอลต้องตรากตรำทำงานหนัก วันหนึ่งขณะโมเสสไปอยู่ท่ามกลางชาวอิสราเอล พบชาวอียิปต์กำลังตีคนอิสราเอล เมื่อมองดูว่าไม่มีใคร โมเสสจึงฆ่าชาวอียิปต์คนนั้น และฝังซ่อนไว้ในทราย
วันรุ่งขึ้น ขณะโมเสสกำลังเดินอยู่ พบชาวอิสราเอลกำลังทะเลาะกัน จึงเข้าไปเตือน แต่กลับถูกย้อนว่า "ใครตั้งท่านให้เป็นเจ้านาย และเป็นตุลาการปกครองข้าพเจ้า ท่านตั้งใจจะฆ่าข้าพเจ้า เหมือนกับที่ได้ฆ่าคนอียิปต์คนนั้นหรือ"
เมื่อโมเสสได้ยินดังนั้น ก็ตกใจ และทราบว่าเรื่องนี้ลือกันไปทั่วแล้ว จึงหลบหนีออกไปอยู่ที่เมืองมีเดียน โดยอาศัยอยู่กับเยโธร ปุโรหิตของเมืองนั้น
พระเจ้าทรงเรียกโมเสส
ภายหลังจากฟาโรห์สิ้นพระชนม์ ชาวอิสราเอลก็คร่ำครวญกับพระเจ้า พระองค์จึงทรงระลึกถึงชนชาวอิสราเอล พระองค์จึงทรงไปปรากฏต่อหน้าโมเสส เพื่อเป็นผู้นำอิสราเอลให้ออกจากอียิปต์ ไปยังดินแดนคานาอัน อันเป็นดินแดนที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับอับราฮัมว่าจะยกให้แก่พงศ์พันธุ์ของท่าน
เมื่อพระเจ้าทรงเรียกโมเสสนั้น ทรงกระทำหมายสำคัญ 3 ประการเพื่อให้โมเสสตอบรับหน้าที่นี้ หมายสำคัญทั้งสามประการได้แก่
พระเจ้าทรงให้โมเสส โยนไม้เท้าลงบนพื้น และไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู และเมื่อโมเสสจับหางงู งูนั้นก็กลายเป็นไม้เท้าดังเดิม
พระเจ้าทรงให้โมเสส สอดมือไว้ที่อก เมื่อชักมือออกมา มือนั้นก็กลายเป็นเรื้อน และเมื่อสอดมือไว้ที่อกอีกครั้ง มือนั้นก็เป็นปกติ พระเจ้าทรงให้โมเสสตักน้ำมา และเทลงบนพื้น น้ำนั้นก็กลายเป็นเลือดบนดินนั้น แต่ถึงกระนั้น โมเสส ก็ยังคงมีข้อต่อรองกับพระเจ้า ด้วยโมเสสบอกว่าตนเองพูดไม่เก่ง เกรงว่าชาวอิสราเอลจะไม่ยอมฟัง พระเจ้า จึงให้อาโรน พี่ชายของโมเสส ซึ่งเป็นคนพูดเก่ง เป็นผู้ช่วยของเขา
ดังนั้นโมเสสจึงได้ลาพ่อตา และเดินทางกลับไปยังอียิปต์ และพบกับอาโรนเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าให้สำเร็จต่อไป เมื่อโมเสสได้ไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ที่อียิปต์ครั้งนี้ โมเสสมีอายุ 80 ปี และอาโรนมีอายุ 83 ปี
เหตุการณ์สำคัญ
เมื่อโมเสสเข้าเฝ้าฟาโรห์ในครั้งนั้น โมเสสทูลขอให้ฟาโรห์ปล่อยอิสราเอลให้ไปนมัสการพระเจ้าในถิ่นทุรกันดาร (ทะเลทราย) ฟาโรห์ทรงมีพระทัยแข็งกระด้าง และไม่ยินยอมให้อิสราเอลไป ในครั้งนั้น โมเสส และ อาโรน จึงได้รับบัญชาจากพระเจ้าในการทำให้เกิดภัยพิบัติแก่อียิปต์ ถึง 10 ประการ จนในที่สุด ฟาโรห์ และเหล่าข้าราชบริพารจึงพากันขับไล่อิสราเอลออกไปจากอียิปต์
ก่อนภัยพิบัติครั้งสุดท้าย พระเจ้าทรงให้โมเสสนำอิสราเอลประกอบพิธีปัสกาขึ้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ความเป็นอิสราเอลไว้ เพื่อในคืนนั้นพระเจ้าจะผ่านเลยบ้านที่มีเลือดแกะปัสกาป้ายอยู่ แต่บ้านชาวอียิปต์พระเจ้าจะทรงนำเอาบุตรหัวปีของพวกเขาไป พิธีปัสกา จึงเป็นพิธีที่อิสราเอลเฉลิมฉลองถึงเหตุการณ์ความเป็นไท ในครั้งนี้
เมื่อเดินทางมาริมทะเลแดง กองทัพอียิปต์ก็ติดตามอิสราเอลมา เพื่อตามอิสราเอลกลับไปเป็นทาสดังเดิม ครั้งนี้ พระเจ้าทรงให้โมเสสชูไม้เท้าขึ้นเหนือน้ำ ทำให้ทะเลแดงแหวกออก เป็นทางเดินให้อิสราเอลเดินข้ามไป แต่เมื่อกองทัพอียิปต์จะข้ามตาม ทะเลก็กลับคืนดังเดิม และท่วมกองทัพอียิปต์ตายไปเสียสิ้น
เมื่อเดินทางถึงภูเขาซีนาย พระเจ้าทรงเรียกโมเสส ขึ้นไปเข้าเฝ้าพระพักตร์พระองค์ แบบหน้าต่อหน้า และที่ภูเขาซีนายนี่เอง ที่พระเจ้าทรงประทานบัญญัติ 10 ประการมาให้อิสราเอล และประทานกฎหมายข้อบังคับต่าง ๆ ให้แก่พวกเขา
เมื่อออกเดินทางจากภูเขาซีนาย ก็เข้าสู่เขตแดนคานาอัน ในครั้งนั้น โมเสสส่งผู้สอดแนม จากบรรดาหัวหน้าในคนอิสราเอล จำนวน 12 คน (ตามเผ่าของอิสราเอล) ไปดูลาดเลาในคานาอัน ในจำนวนนั้น ยกเว้น โยชูวา และ คาเล็บ ต่างพากันให้ร้ายแก่แผ่นดินคานาอันนั้น เป็นเหตุให้คนอิสราเอลทั้งหลายไม่ยอมเดินทางเข้าแผ่นดินคานาอันตามที่พระเจ้าทรงบัญชา เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้อิสราเอลต้องใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทราย เป็นเวลา 40 ปี นับตามจำนวนวันที่ผู้สอดแนมเดินทางไปดูลาดเลาแผ่นดินนั้น และบรรดาอิสราเอลที่มีอายุเกิน 20 ปีในวันนั้น ยกเว้น โยชูวา และ คาเล็บ ล้วนไม่มีใครได้เข้าไปในแผ่นดินคานาอันเลย
ขณะเมื่ออยู่ในทะเลทราย ช่วง 40 ปีอันโหดร้ายนั้น ครั้งหนึ่งเกิดการกันดารน้ำ ชาวอิสราเอลจึงมาต้ดพ้อโมเสส ในครั้งนี้พระเจ้าตรัสสั่งให้โมเสส ออกไป "บอก" ก้อนหินให้หลั่งน้ำ เพื่อได้มีน้ำใช้ แต่ครั้งนั้นอิสราเอลทำให้โมเสส และอาโรนโกรธอย่างมาก จึงใช้ไม้เท้า ตี หินสองครั้ง น้ำจึงไหลออกมา เหตุการครั้งนั้น พระเจ้านับว่าทั้งสองไม่เชื่อฟังพระองค์ อาโรนและโมเสสจึงไม่ได้สิทธิในการเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน
ชีวิตครอบครัว
เมื่อโมเสสไปอาศัยอยู่กับ เรอูเอล ปุโรหิตแห่งเมืองมีเดียนนั้น เยโธร ได้ยก ศิปโปราห์ บุตรสาวของตนให้โมเสส และมีบุตร ชื่อ เกอร์โชม
บั้นปลายชีวิต
โมเสสใช้เวลาปกครองอิสราเอล และนำอิสราเอลเดินทางผ่านทะเลทราย เป็นเวลา 40 ปี เมื่อท่านอายุได้ 120 ปี ก็สิ้นชีวิต โดยมิได้เข้าไปในแผ่นดินคานาอัน แผ่นดินแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า เพราะการไม่เชื่อฟังพระเจ้าเพียงครั้งเดียว[8] ตามบันทึกพระคัมภีร์กล่าวว่า ศพของโมเสส ถูกฝังไว้ในเขตแดนก่อนเข้าแผ่นดินคานาอันนั่นเอง
วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554
น้ำเย็นๆ ก็เป็นอันตรายได้
ความรู้สั้นๆ แต่มีประโยชน์ทีเดียวค่ะ
อากาศร้อนๆ เรามักรู้สึกกระหายน้ำมากกว่าปกติ ทำให้ต้องหาน้ำเย็นๆมาดื่มทุกที น้ำเย็นช่วยดับความร้อนและกระหายได้ แต่รู้มั้ยคะว่า ถ้าเราดื่มน้ำเย็นจัดๆ ทันที อาจจะส่งผลเสียกับร่างกายเราได้ เช่นกันค่ะ เพราะการกินน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็นจัดเวลาอากาศร้อน อาจทำให้ร่างกายปรับสภาพไม่ทัน เพราะอุณหภูมิภายในร่างกายของคนเรานั้นคือ 37 องศาเซลเซียส แต่ถ้าเราดื่มน้ำเย็นจัดทันที ของเหลวที่เดินทางผ่านเข้าไปยังกระเพาะอาหารอย่างรวดเร็ว จะทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานในการปรับอุณหภูมิในระบบลำเลียงอาหาร ส่งผลให้อวัยวะภายในบิดตัวอย่างรุนแรง จึงอาจรู้สีกปวดภายในร่างกายได้ เช่น บางคนมีอาการปวดท้องทันที เป็นต้น ดังนั้น เวลาที่เรารู้สึกร้อนหรือกระหายมาก ควรดื่มน้ำที่มีอุณหภูมิห้องจะดีกว่าค่ะ แล้วค่อยๆ ดื่ม อย่าดื่มทีเดียวอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัวค่ะ
ที่มา : Facebook-> I Love MILK (Thailand)
http://www.facebook.com/photo.php?fbid=152340361503727&set=a.123348254402938.22780.116172181787212&type=1&theater
อากาศร้อนๆ เรามักรู้สึกกระหายน้ำมากกว่าปกติ ทำให้ต้องหาน้ำเย็นๆมาดื่มทุกที น้ำเย็นช่วยดับความร้อนและกระหายได้ แต่รู้มั้ยคะว่า ถ้าเราดื่มน้ำเย็นจัดๆ ทันที อาจจะส่งผลเสียกับร่างกายเราได้ เช่นกันค่ะ เพราะการกินน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็นจัดเวลาอากาศร้อน อาจทำให้ร่างกายปรับสภาพไม่ทัน เพราะอุณหภูมิภายในร่างกายของคนเรานั้นคือ 37 องศาเซลเซียส แต่ถ้าเราดื่มน้ำเย็นจัดทันที ของเหลวที่เดินทางผ่านเข้าไปยังกระเพาะอาหารอย่างรวดเร็ว จะทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานในการปรับอุณหภูมิในระบบลำเลียงอาหาร ส่งผลให้อวัยวะภายในบิดตัวอย่างรุนแรง จึงอาจรู้สีกปวดภายในร่างกายได้ เช่น บางคนมีอาการปวดท้องทันที เป็นต้น ดังนั้น เวลาที่เรารู้สึกร้อนหรือกระหายมาก ควรดื่มน้ำที่มีอุณหภูมิห้องจะดีกว่าค่ะ แล้วค่อยๆ ดื่ม อย่าดื่มทีเดียวอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัวค่ะ
ที่มา : Facebook-> I Love MILK (Thailand)
http://www.facebook.com/photo.php?fbid=152340361503727&set=a.123348254402938.22780.116172181787212&type=1&theater
การดื่มน้ำและนมกับคนเป็นเก๊าท์
สวัสดีค่ะ วันนี้คนเขียนได้ความรู้สั้นๆ แต่มีประโยชน์จาก Facebook Page I Love MILK Thailand ค่ะ
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.123348254402938.22780.116172181787212#!/iLoveMilkThailand
--------------------------------------------------------------------------------
ใครเป็นโรคเก๊าท์หรือรู้จักคนป่วยโรคนี้ดูทางนี้ค่ะ มีการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า การดื่มน้ำ 6-8 แก้วในช่วง 24 ชั่วโมงสัมพันธ์กับการลดลงของอาการเก๊าท์กำเริบถึง 40% นอกจากนั้นยังมีการวัดระดับกรดยูริคซึ่งมีระดับสูงในผู้ป่วยโรคเก๊าท์ 16 คนที่ดื่มนมถั่วเหลืองหรือนมพร่องมันเนย โดยวัดเปรียบเทียบก่อนดื่ม และหลังดื่มทุกชั่วโมง เป็นเวลา 3 ชั่วโมง พบว่าหลังดื่มนมถั่วเหลือง ระดับกรดยูริคเพิ่มขึ้น 10% แต่หลังดื่มนมพร่องมันเนย พบระดับกรดยูริคลดลง 10% โดยคณะผู้วิจัยให้เหตุผลว่าในนมพร่องมันเนยมีกรดโอโรติค ที่ช่วยส่งเสริมการขับกรดยูริคโดยไต ดังนั้นจากข้อมูลของการศึกษานี้ แสดงให้เห็นว่าการดื่มน้ำให้มากขึ้น และการดื่มนมพร่องมันเนย อาจช่วยป้องกันอาการเจ็บปวดของการมีโรคเก๊าท์กำเริบได้
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.123348254402938.22780.116172181787212#!/iLoveMilkThailand
--------------------------------------------------------------------------------
ใครเป็นโรคเก๊าท์หรือรู้จักคนป่วยโรคนี้ดูทางนี้ค่ะ มีการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า การดื่มน้ำ 6-8 แก้วในช่วง 24 ชั่วโมงสัมพันธ์กับการลดลงของอาการเก๊าท์กำเริบถึง 40% นอกจากนั้นยังมีการวัดระดับกรดยูริคซึ่งมีระดับสูงในผู้ป่วยโรคเก๊าท์ 16 คนที่ดื่มนมถั่วเหลืองหรือนมพร่องมันเนย โดยวัดเปรียบเทียบก่อนดื่ม และหลังดื่มทุกชั่วโมง เป็นเวลา 3 ชั่วโมง พบว่าหลังดื่มนมถั่วเหลือง ระดับกรดยูริคเพิ่มขึ้น 10% แต่หลังดื่มนมพร่องมันเนย พบระดับกรดยูริคลดลง 10% โดยคณะผู้วิจัยให้เหตุผลว่าในนมพร่องมันเนยมีกรดโอโรติค ที่ช่วยส่งเสริมการขับกรดยูริคโดยไต ดังนั้นจากข้อมูลของการศึกษานี้ แสดงให้เห็นว่าการดื่มน้ำให้มากขึ้น และการดื่มนมพร่องมันเนย อาจช่วยป้องกันอาการเจ็บปวดของการมีโรคเก๊าท์กำเริบได้
วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554
เลส พอล
สวัสดีค่ะ คนเขียนยุ่งๆเลยไม่ได้อัพเสียนาน กะว่าเดือนนี้จะกลับมาขยันอัพเหมือนเดิม 5555
แต่นาแปลกใจที่คนเขียนไม่สามารถอัพโหลดรูปได้น่ะค่ะ สงสัยจริงๆ TT^TT (แต่รูปแบบเนื้อหาที่ยังไม่ได้จัด เป็นเพราะคนเขียนไม่มีเวลาเองนะคะ แหะๆๆๆ ^^')
วันนี้เรามารู้จัก "เลส พอล" นักกีตาร์ยอดฝีมือกันดีกว่าค่ะ ^^
เลส พอล (อังกฤษ: Lester William Polsfuss; 9 มิถุนายน พ.ศ. 2458 – 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552) นักประดิษฐ์ นักดนตรี และนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์กีตาร์ไฟฟ้าแบบตัวถังทึบที่สามารถ “ทำให้เสียงแบบเพลงร็อคแอนด์โรลเป็นไปได้” [1] เลส พอลได้รับเกียรติเป็นผู้ริเริ่มด้านนวัตกรรมการอัดเสียงเพลงแบบต่างๆ รวมถึงการอัดเสียงทับซ้อน (Overdubbing) หรือ “การอัดเสียงทับเสียง” (Sound on sound) [2] เสียงประกอบ (Sound effect) เสียงเหลื่อม (Delay effect) และการอัดเสียงแบบลู่อเนก (Multitrack recording) [3]
ด้วยความเก่งกาจทางนวัตกรรมนี้เองที่เอื้อให้พอลมีแบบอย่างการเล่นของตนเอง ซึ่งรวม “การเลีย” (lick) “การสยิว” (trill) เทคนิคลำดับคอร์ด (Chording sequence) หรือ fretting และการจับเวลา ซึ่งทำให้การเล่นเขาแตกต่างไปจากวงการดนตรีที่ร่วมสมัยอยู่ในเวลานั้นและกลายเป็นแรงบันดาลใจให้แก่นักกีตาร์จำนวนมากในปัจจุบัน[4][5][6][7] เลส พอลอัดแผ่นเสียงร่วมกับภรรยา คือแมรี่ ฟอร์ด ในช่วงทศวรรษ 1950 (ประมาณ พ.ศ. 2494 - พ.ศ. 2503) ซึ่งจำหน่ายได้เป็นจำนวนหลายล้านแผ่น
ในด้านเกียรติประวัติ เลส พอล เป็นหนึ่งในจำนวนน้อยคนที่ได้รับการจัดนิทรรศการเดี่ยวอย่างถาวรในหอเกียรติยศร็อกแอนด์โรล[8] โดยได้รับการจารึกไว้ในเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ดนตรีว่าเป็น "สถาปนิก" และผู้มีชื่อร่วมกับ แซม ฟิลิปส์ และ อลัน ฟรีด[9]
ชีวิตช่วงต้นเลส พอล เกิดที่เมืองวูกีชา ในรัฐวิสคอนซิน เป็นบุตรของจอร์จ และ เอเวอลีน โพลส์ฟัส เชื้อสายเยอรมัน[10] มารดาของพอลเป็นญาติห่างๆ กับผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตเบียร์ (Valentin Blatz Brewing Company) บริษัทผลิตรถยนต์ [11] พ่อและแม่หย่าจากกันเสียตั้งแต่พอลยังอยู่ในวัยเด็ก.[12] แม่ของพอลได้ปรับชื่อสกุลแบบชาวปรัสเซียให้ง่ายขึ้นเป็น “Polsfuss” ตั้งก่อนที่พอลจะใช้ชื่อ เลส พอลบนเวทีการแสดง พอลมีชื่อเล่นอีกชื่อว่า “แดงร้อนแดง” (Red Hot Red)[13] และ "รูห์บาบแดง" (Rhubarb Red)[14]
ชีวิตส่วนตัว
เลส พอล พ.ศ. 2551พอลแต่งงานกับเวอร์จิเนีย เว็บบ์ เมื่อ พ.ศ. 2481 มีบุตรด้วยกัน 2 คนแต่หย่าขาดจากกันเมื่อ พ.ศ. 2492 และแต่งงานกับฟอร์ดในปีต่อมา หลังจากมีบุตรด้วยกัน 1 คนก็ได้หย่าจากกันเมื่อ พ.ศ. 2506
การถึงแก่กรรมเลส พอลถึงแก่กรรมด้วยโรคปอดอักเสบแทรกที่โรงพยาบาลไวท์เพลน นิวยอร์ก เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552 [16] ท่ามกลางญาติและเพื่อนฝูงรายล้อมข้างเตียง[17] ทนายของพอลแถลงข่าวว่า พอล ได้เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลเนื่องจากการเจ็บป่วย [18]
ผลงาน[แก้] อัลบัมFeedback (1944)—compilation
Les Paul Trio (1946)—compilation
Hawaiian Paradise (1949)
The Hit Makers! (1950)
The New Sound (1950)
Les Paul's New Sound, Volume 2 (1951)
Bye Bye Blues! (1952)
Gallopin' Guitars (1952)—compilation
Les and Mary (1955)
Time to Dream (1957)
Lover's Luau (1959)
The Hits of Les and Mary (1960)—compilation
Bouquet of Roses (1962)
Warm and Wonderful (1962)
Swingin' South (1963)
Fabulous Les Paul and Mary Ford (1965)
Les Paul Now! (1968)
Guitar Tapestry
Lover
The Guitar Artistry of Les Paul (1971)
The World is Still Waiting for the Sunrise (1974)—compilation
The Best of Les Paul with Mary Ford (1974)—compilation
Chester and Lester (1976)—with Chet Atkins
Guitar Monsters (1977)—with Chet Atkins
Les Paul and Mary Ford (1978)—compilation
Multi Trackin' (1979)
All-Time Greatest Hits (1983)—compilation
The Very Best of Les Paul with Mary Ford (1983)—compilation
Tiger Rag (1984)—compilation
Famille Nombreuse (1992)—compilation
The World Is Waiting (1992)—compilation
The Best of the Capitol Masters: Selections From "The Legend and the Legacy" Box Set (1992)—compilation
All-Time Greatest Hits (1992)—compilation
Their All-Time Greatest Hits (1995)—compilation
Les Paul: The Legend and the Legacy (1996; a four-CD box set chronicling his years with Capitol Records)
16 Most Requested Songs (1996)—compilation
The Complete Decca Trios—Plus (1936–1947) (1997)—compilation
California Melodies (2003)
Les Paul & Friends: American Made World Played (2005)
Les Paul And Friends: A Tribute To A Legend (2008)
[แก้] เพลงเดี่ยว"It's Been a Long, Long Time"—Bing Crosby & The Les Paul Trio (1945), #1 on Billboard Pop singles chart, 1 week, December 8
"Rumors Are Flying"—Andrews Sisters & Les Paul (1946)
"Lover (When You're Near Me)" (1948)
"Brazil" (1948)
"What Is This Thing Called Love?" (1948)
"Nola" (1950)
"Goofus" (1950)
"Little Rock 69 Getaway" (1950/1951)
"Tennessee Waltz"—Les Paul & Mary Ford (1950/1951)
"Mockingbird Hill"—Les Paul & Mary Ford (1951)
"How High The Moon"—Les Paul & Mary Ford (1951), #1, Billboard Pop singles chart, 9 weeks, April 21 – June 16; #1, Cashbox, 2 weeks
"I Wish I Had Never Seen Sunshine"—Les Paul & Mary Ford (1951)
"The World Is Waiting for the Sunrise"—Les Paul & Mary Ford (1951)
"Just One More Chance"—Les Paul & Mary Ford (1951)
"Jazz Me Blues" (1951)
"Josephine" (1951)
"Whispering" (1951)
"Jingle Bells" (1951)
"Tiger Rag"—Les Paul & Mary Ford (1952)
"I'm Confessin' (That I Love You)"—Les Paul & Mary Ford (1952)
"Carioca" (1952)
"In the Good Old Summertime"—Les Paul & Mary Ford (1952)
"Smoke Rings"—Les Paul & Mary Ford (1952)
"Meet Mister Callaghan" (1952)
"Take Me In Your Arms And Hold Me"—Les Paul & Mary Ford (1952)
"Lady of Spain" (1952)
"My Baby's Coming Home"—Les Paul & Mary Ford (1952)
"Bye Bye Blues"—Les Paul & Mary Ford (1953)
"I'm Sitting On Top Of The World"—Les Paul & Mary Ford (1953)
"Sleep" (Fred Waring's theme song) (1953)
"Vaya Con Dios"—Les Paul & Mary Ford (1953), #1, Billboard Pop singles chart, 11 weeks, August 8 – October 3, November 7–14; #1, Cashbox, 5 weeks
"Johnny (Is The Boy For Me)"—Les Paul & Mary Ford (1953)
"Don'cha Hear Them Bells"—Les Paul & Mary Ford (1953), #13, Billboard; #32, Cashbox
"The Kangaroo" (1953), #23, Cashbox
"I Really Don't Want To Know"—Les Paul & Mary Ford (1954)
"I'm A Fool To Care"—Les Paul & Mary Ford (1954)
"Whither Thou Goest"—Les Paul & Mary Ford (1954)
"Mandolino"—Les Paul & Mary Ford (1954)
"Song in Blue"—Les Paul & Mary Ford (1954), #17, Cashbox
"Hummingbird"—Les Paul & Mary Ford (1955)
"Amukiriki (The Lord Willing)"—Les Paul & Mary Ford (1955)
"Magic Melody"—Les Paul & Mary Ford (1955)
"Texas Lady"—Les Paul & Mary Ford (1956)
"Moritat" (Theme from "Three Penny Opera") (1956)
"Nuevo Laredo"—Les Paul & Mary Ford (1956)
"Cinco Robles (Five Oaks)"—Les Paul & Mary Ford (1957)
"Put A Ring On My Finger"—Les Paul & Mary Ford (1958)
"Jura (I Swear I Love You)"—Les Paul & Mary Ford (1961)
แต่นาแปลกใจที่คนเขียนไม่สามารถอัพโหลดรูปได้น่ะค่ะ สงสัยจริงๆ TT^TT (แต่รูปแบบเนื้อหาที่ยังไม่ได้จัด เป็นเพราะคนเขียนไม่มีเวลาเองนะคะ แหะๆๆๆ ^^')
วันนี้เรามารู้จัก "เลส พอล" นักกีตาร์ยอดฝีมือกันดีกว่าค่ะ ^^
เลส พอล (อังกฤษ: Lester William Polsfuss; 9 มิถุนายน พ.ศ. 2458 – 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552) นักประดิษฐ์ นักดนตรี และนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์กีตาร์ไฟฟ้าแบบตัวถังทึบที่สามารถ “ทำให้เสียงแบบเพลงร็อคแอนด์โรลเป็นไปได้” [1] เลส พอลได้รับเกียรติเป็นผู้ริเริ่มด้านนวัตกรรมการอัดเสียงเพลงแบบต่างๆ รวมถึงการอัดเสียงทับซ้อน (Overdubbing) หรือ “การอัดเสียงทับเสียง” (Sound on sound) [2] เสียงประกอบ (Sound effect) เสียงเหลื่อม (Delay effect) และการอัดเสียงแบบลู่อเนก (Multitrack recording) [3]
ด้วยความเก่งกาจทางนวัตกรรมนี้เองที่เอื้อให้พอลมีแบบอย่างการเล่นของตนเอง ซึ่งรวม “การเลีย” (lick) “การสยิว” (trill) เทคนิคลำดับคอร์ด (Chording sequence) หรือ fretting และการจับเวลา ซึ่งทำให้การเล่นเขาแตกต่างไปจากวงการดนตรีที่ร่วมสมัยอยู่ในเวลานั้นและกลายเป็นแรงบันดาลใจให้แก่นักกีตาร์จำนวนมากในปัจจุบัน[4][5][6][7] เลส พอลอัดแผ่นเสียงร่วมกับภรรยา คือแมรี่ ฟอร์ด ในช่วงทศวรรษ 1950 (ประมาณ พ.ศ. 2494 - พ.ศ. 2503) ซึ่งจำหน่ายได้เป็นจำนวนหลายล้านแผ่น
ในด้านเกียรติประวัติ เลส พอล เป็นหนึ่งในจำนวนน้อยคนที่ได้รับการจัดนิทรรศการเดี่ยวอย่างถาวรในหอเกียรติยศร็อกแอนด์โรล[8] โดยได้รับการจารึกไว้ในเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ดนตรีว่าเป็น "สถาปนิก" และผู้มีชื่อร่วมกับ แซม ฟิลิปส์ และ อลัน ฟรีด[9]
ชีวิตช่วงต้นเลส พอล เกิดที่เมืองวูกีชา ในรัฐวิสคอนซิน เป็นบุตรของจอร์จ และ เอเวอลีน โพลส์ฟัส เชื้อสายเยอรมัน[10] มารดาของพอลเป็นญาติห่างๆ กับผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตเบียร์ (Valentin Blatz Brewing Company) บริษัทผลิตรถยนต์ [11] พ่อและแม่หย่าจากกันเสียตั้งแต่พอลยังอยู่ในวัยเด็ก.[12] แม่ของพอลได้ปรับชื่อสกุลแบบชาวปรัสเซียให้ง่ายขึ้นเป็น “Polsfuss” ตั้งก่อนที่พอลจะใช้ชื่อ เลส พอลบนเวทีการแสดง พอลมีชื่อเล่นอีกชื่อว่า “แดงร้อนแดง” (Red Hot Red)[13] และ "รูห์บาบแดง" (Rhubarb Red)[14]
ชีวิตส่วนตัว
เลส พอล พ.ศ. 2551พอลแต่งงานกับเวอร์จิเนีย เว็บบ์ เมื่อ พ.ศ. 2481 มีบุตรด้วยกัน 2 คนแต่หย่าขาดจากกันเมื่อ พ.ศ. 2492 และแต่งงานกับฟอร์ดในปีต่อมา หลังจากมีบุตรด้วยกัน 1 คนก็ได้หย่าจากกันเมื่อ พ.ศ. 2506
การถึงแก่กรรมเลส พอลถึงแก่กรรมด้วยโรคปอดอักเสบแทรกที่โรงพยาบาลไวท์เพลน นิวยอร์ก เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552 [16] ท่ามกลางญาติและเพื่อนฝูงรายล้อมข้างเตียง[17] ทนายของพอลแถลงข่าวว่า พอล ได้เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลเนื่องจากการเจ็บป่วย [18]
ผลงาน[แก้] อัลบัมFeedback (1944)—compilation
Les Paul Trio (1946)—compilation
Hawaiian Paradise (1949)
The Hit Makers! (1950)
The New Sound (1950)
Les Paul's New Sound, Volume 2 (1951)
Bye Bye Blues! (1952)
Gallopin' Guitars (1952)—compilation
Les and Mary (1955)
Time to Dream (1957)
Lover's Luau (1959)
The Hits of Les and Mary (1960)—compilation
Bouquet of Roses (1962)
Warm and Wonderful (1962)
Swingin' South (1963)
Fabulous Les Paul and Mary Ford (1965)
Les Paul Now! (1968)
Guitar Tapestry
Lover
The Guitar Artistry of Les Paul (1971)
The World is Still Waiting for the Sunrise (1974)—compilation
The Best of Les Paul with Mary Ford (1974)—compilation
Chester and Lester (1976)—with Chet Atkins
Guitar Monsters (1977)—with Chet Atkins
Les Paul and Mary Ford (1978)—compilation
Multi Trackin' (1979)
All-Time Greatest Hits (1983)—compilation
The Very Best of Les Paul with Mary Ford (1983)—compilation
Tiger Rag (1984)—compilation
Famille Nombreuse (1992)—compilation
The World Is Waiting (1992)—compilation
The Best of the Capitol Masters: Selections From "The Legend and the Legacy" Box Set (1992)—compilation
All-Time Greatest Hits (1992)—compilation
Their All-Time Greatest Hits (1995)—compilation
Les Paul: The Legend and the Legacy (1996; a four-CD box set chronicling his years with Capitol Records)
16 Most Requested Songs (1996)—compilation
The Complete Decca Trios—Plus (1936–1947) (1997)—compilation
California Melodies (2003)
Les Paul & Friends: American Made World Played (2005)
Les Paul And Friends: A Tribute To A Legend (2008)
[แก้] เพลงเดี่ยว"It's Been a Long, Long Time"—Bing Crosby & The Les Paul Trio (1945), #1 on Billboard Pop singles chart, 1 week, December 8
"Rumors Are Flying"—Andrews Sisters & Les Paul (1946)
"Lover (When You're Near Me)" (1948)
"Brazil" (1948)
"What Is This Thing Called Love?" (1948)
"Nola" (1950)
"Goofus" (1950)
"Little Rock 69 Getaway" (1950/1951)
"Tennessee Waltz"—Les Paul & Mary Ford (1950/1951)
"Mockingbird Hill"—Les Paul & Mary Ford (1951)
"How High The Moon"—Les Paul & Mary Ford (1951), #1, Billboard Pop singles chart, 9 weeks, April 21 – June 16; #1, Cashbox, 2 weeks
"I Wish I Had Never Seen Sunshine"—Les Paul & Mary Ford (1951)
"The World Is Waiting for the Sunrise"—Les Paul & Mary Ford (1951)
"Just One More Chance"—Les Paul & Mary Ford (1951)
"Jazz Me Blues" (1951)
"Josephine" (1951)
"Whispering" (1951)
"Jingle Bells" (1951)
"Tiger Rag"—Les Paul & Mary Ford (1952)
"I'm Confessin' (That I Love You)"—Les Paul & Mary Ford (1952)
"Carioca" (1952)
"In the Good Old Summertime"—Les Paul & Mary Ford (1952)
"Smoke Rings"—Les Paul & Mary Ford (1952)
"Meet Mister Callaghan" (1952)
"Take Me In Your Arms And Hold Me"—Les Paul & Mary Ford (1952)
"Lady of Spain" (1952)
"My Baby's Coming Home"—Les Paul & Mary Ford (1952)
"Bye Bye Blues"—Les Paul & Mary Ford (1953)
"I'm Sitting On Top Of The World"—Les Paul & Mary Ford (1953)
"Sleep" (Fred Waring's theme song) (1953)
"Vaya Con Dios"—Les Paul & Mary Ford (1953), #1, Billboard Pop singles chart, 11 weeks, August 8 – October 3, November 7–14; #1, Cashbox, 5 weeks
"Johnny (Is The Boy For Me)"—Les Paul & Mary Ford (1953)
"Don'cha Hear Them Bells"—Les Paul & Mary Ford (1953), #13, Billboard; #32, Cashbox
"The Kangaroo" (1953), #23, Cashbox
"I Really Don't Want To Know"—Les Paul & Mary Ford (1954)
"I'm A Fool To Care"—Les Paul & Mary Ford (1954)
"Whither Thou Goest"—Les Paul & Mary Ford (1954)
"Mandolino"—Les Paul & Mary Ford (1954)
"Song in Blue"—Les Paul & Mary Ford (1954), #17, Cashbox
"Hummingbird"—Les Paul & Mary Ford (1955)
"Amukiriki (The Lord Willing)"—Les Paul & Mary Ford (1955)
"Magic Melody"—Les Paul & Mary Ford (1955)
"Texas Lady"—Les Paul & Mary Ford (1956)
"Moritat" (Theme from "Three Penny Opera") (1956)
"Nuevo Laredo"—Les Paul & Mary Ford (1956)
"Cinco Robles (Five Oaks)"—Les Paul & Mary Ford (1957)
"Put A Ring On My Finger"—Les Paul & Mary Ford (1958)
"Jura (I Swear I Love You)"—Les Paul & Mary Ford (1961)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)