เนื่องจากเมื่อวาน (29 กรกฎาคม) เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ ก็เลยขอเขียนบทความเกี่ยวกับ ภาษาไทย และ วันภาษาไทยแห่งชาติ สักนิดนะคะ ^^
เนื้อหาของบทความนี้ มาจาก FW:Mail แสดงถึงความน่าเป็นห่วงของภาษาไทยในอนาคตอันใกล้นี้ค่ะ
(ในวงเล็บได้เขียนแบบที่ถูกต้องเอาไว้ด้วย เผื่อจะอ่านไม่ออก เหอๆๆๆ)
พาศาทัยในอานาโคต หั้ยหัดอ่านเสียแต่เด๋วนี้ เพาะเด๋วจะอ่านไม่ค่อง
(ภาษาไทยในอนาคต ให้หัดอ่านตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เพราะเดี๋ยวจะอ่านไม่คล่อง)
(หนังสือเรียนภาษาไทย ชั้น ป.1 เล่ม 1 กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
พิมพ์ครั้งแรกเป็นจำนวนหลายสิบเล่ม เปิดตัวครั้งแรกที่คอนเสิร์ตของเทพเจ้าแห่งโลกตะวันออก โดยฉบับนี้เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น
พิมพ์ที่ : โรงพิมพ์ของคุรุสภาค่ะ สงวนลิขสิทธิ์แล้วนะ ลอกเลียนแบบเขาตบจริงด้วย)
[ประกาศจากกระทรวงนะคะ เรื่องเค้ายอมให้ใช้เล่มนี้ในโรงเรียนก็ได้...เนื่องด้วยทางสำนักพิมพ์ของเรา ได้พิมพ์ไอ้นี้ออกมาแล้วนะคะ เราก็อยากจะขายๆไปน่ะค่ะ เราก็เลยเอาสตางค์ใส่ซองสีชมพู แล้วยื่นใต้โต๊ะน่ะค่ะ แล้วเขาก็รับด้วยล่ะค่ะ แค่นี้หนังสือเราก็ได้ใช้ในโรงเรียนแล้วล่ะค่ะ...ประกาศ ณ วันที่ Shinee มาไทยน่ะค่ะ (ที่เหลือถอดไม่ได้จริงๆ สุดจะบรรยาย)...]
[บทที่ ๑ นะคะ : เมนี่จัง...ใส่บิ๊กอาย(คอนแทคเลนส์)ด้วยนะคะ กา...กาก็มีตาเหมือนกาก้า (นักฟุตบอล) นะคะ อา...อา ไม่ยอมลืมตา(ตาตี่เหมือนคุณปลื้มเลย...ฮา)]
(อันนี้ไม่ผิดปกติ...เน้นฮาอย่างเดียว)
[แบบฝึกหัด โยงเส้นให้ถูกต้องนะคะ (ตัวเลือกต่างๆคือศิลปินเกาหลี ด้านซ้ายคือชื่อนักร้อง ด้านขวาคือชื่อวงนะคะ...จรรโลงสังคมมากกกก 555+ )]
[อันนี้บทที่สองนะคะ (ที่เหลือไม่ค่อยผิดปกติล่ะ แต่คนเขียนสงสัยว่าคอนแทคเลนส์ไส้สับปะรดมันเป็นอย่างไรนะ 555+)]
[บทที่ 3 แล้วนะคะ บทนี้จะสาธยายความโง่ของอีเมนี่ค่ะ เมนี่พาเจ้าแม้ว (หมายถึงแมวนะคะ...ฮา) มาดูนามีรูปู เมนี่เจอไอโฟนกับบีบี (Iphone และ Blackberry คือชื่อโทรศัพท์มือถือไงคะ)ตกอยู่จึงหยิบไอโฟนขึ้นมาแล้วมาจองบัตรชมคอนเสิร์ต Super Junior (ศิลปินเกาหลี) ส่วนบีบีให้เจ้าแม้วแทะเล่น แล้วจะจองคอนเสิร์ตดงบังชินกิ (ศิลปินเกาหลี) ด้วยแต่ตังค์ใน Paypal เสือกหมด อีนี่มันโง่ แทนที่จะเอาบีบีมาจองก่อน ค่อยให้ให้อีแม้วมันแทะ อีโง่ (ที่เหลือถอดไม่ได้แล้ววว)]
[แบบฝึกหัดนะคะ มาแล้วค่ะ เรื่องคำคล้องจองนะคะ แค่อ่านก็พอ (ที่เหลือไม่ค่อยผิดปกติล่ะ พออ่านออกนะคะ...เริ่มขี้เกียจ...ฮา)]
วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ผู้ที่ใช้ภาษาไทยดีเด่น ประจำปี ๒๕๕๓
นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม แถลงข่าว วันภาษาไทยแห่งชาติ 2553 โดยระบุว่า กระทรวงวัฒนธรรม ตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทย จึงส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชนใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง พร้อมกันนี้ได้สรรหาและคัดเลือกผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่นเพื่อเป็นแบบอย่างแก่เยาวชน และสังคม จำนวน 41 คน ซึ่งทั้งหมดจะเข้ารับรางวัลจาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ในวันที่ 29 กรกฎาคม ซึ่งเป็น วันภาษาไทยแห่งชาติ
ด้านนางกาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิต และนายกสมาคมครูภาษาไทยแห่งประเทศไทย กล่าวเนื่องในโอกาส วันภาษาไทยแห่งชาติ 2553 ว่า ปัจจุบันปัญหาการใช้ภาษาไทยยังคงเหมือนเดิม คือไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งยังน่าเป็นห่วงมากขึ้นด้วย เนื่องจากกระแสเกาหลีฟีเวอร์ที่ถาโถมเข้ามาในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็น เพลงเกาหลี ละคร-ภาพยนตร์เกาหลี อาหารเกาหลี และแฟชั่นเกาหลี ทำให้มีกลุ่มเด็กและเยาวชนหันไปสนใจเรียนภาษาเกาหลีกันมากขึ้น ในขณะที่แทบไม่มีใครสนใจเรียนเสริมภาษาไทยเลย ทั้งที่ยังใช้กันไม่ถูกต้อง
ราชบัณฑิต กล่าวต่อว่า อยากเสนอให้กระทรวงวัฒนธรรม ช่วยรณรงค์เรื่องการอนุรักษ์และการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง และทางกระทรวงศึกษาธิการ ควรเน้นการเรียนวิชาภาษาไทย โดยปลูกฝังตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา รวมถึงส่งเสริมให้เด็กสามารถเขียนเรื่องราวที่มีความยาวได้ เพราะเด็กยุคใหม่ส่วนใหญ่ไม่สามารถเขียนเรียงความ หรือบทความที่เป็นเรื่องราวได้ ซึ่งเชื่อว่าหากส่งเริมตรงจุดนี้ ก็อาจจะช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ ราชบัณฑิต ยังกล่าวถึงปัญหาการใช้ภาษาถิ่นด้วยว่า เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่น่าเป็นห่วง เพราะเด็กไทยมักรู้สึกอายที่พูดภาษาถิ่นตัวเอง ดังนั้น จึงควรมีการส่งเสริมให้ใช้ภาษาถิ่นระหว่างที่อยู่ในภูมิลำเนา เพื่อช่วยอนุรักษ์ภาษาถิ่นเอาไว้ได้อีกทางหนึ่ง
สำหรับรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัล วันภาษาไทยแห่งชาติ 2553 มีดังนี้
ปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย ได้แก่
- พระปุญญวํโส (พร ภิรมย์)
- รศ.ดวงมน จิตร์จำนงค์
- ศ.เกียรติคุณ นพ.ประสพ รัตนากร
- ศ.กิตติคุณ ปราณี กุลละวณิชย์
- ศ.กิตติคุณ ปรีชา ช้างขวัญยืน
- นายวศิน อินทสระ
- ศ.เกียรติคุณ แสง จันทร์งาม
- ศ.กิตติคุณ สุจริต เพียรชอบ
- ศ.อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์
ผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น (ชาวไทย) ได้แก่
- พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
- นายคำนูณ สิทธิสมาน
- นางจารุลินทร์ มุสิกะพงษ์
- นางชมัยภร แสงกระจ่าง
- นายเติมศักดิ์ จารุปราณ
- นางเทวี บุญจับ
- ผศ.ธัญญา สังขพันธานนท์
- รศ.นภาลัย สุวรรณธาดา
- นางนันทวัน สุวรรณปิยะศิริ
- นายบุญเตือน ศรีวรพจน์
- รองศาสตราจารย์วันเนาว์ ยูเด็น
- นายวิเชียร นีลิกานนท์
- นายเศรษฐา ศิระฉายา
- นางสุพัชรินทร์ ชาญช่างเหล็ก
- หม่อมราชวงศ์อรฉัตร ซองทอง
- นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
- นายอำนาจ สอนอิ่มสาตร์
ผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น (ชาวต่างประเทศ) ได้แก่
- พระชยสาโรภิกขุ พระมิตซูโอะ คเวสโก
- นางสาวคริสตี้ กิ๊บสัน
- นายฉิน อี้เซ็น
- ศ.สตีเฟน บี ยัง
ผู้ใช้ภาษาไทยถิ่นดีเด่น ได้แก่
- นายวิรัตน์ ทิพย์วารี
- นายนุ่ม เย็นใจ
- พ.อ.บัณฑิต นันทเสนา
- นายบุญเอิบ วรรณคง
- นายไพฑูรย์ ดอกบัวแก้ว
- นายวิชาญ ช่วยชูใจ
- นายวิลักษณ์ ศรีป่าซาง
- นายสนั่น ธรรมธิ
- นายสลา คุณวุฒิ
- นางอุไร ฉิมหลวง
ส่วนโครงการรางวัล เพชรในเพลง ครั้งที่ 7 ซึ่งจะมอบให้กับนักร้อง เพลงไทยสากล-ลูกทุ่ง ที่ออกเสียงได้ถูกต้องตามอักขระภาษาไทย มีผู้ได้รับการประกาศยกย่อง จำนวน 28 คน ดังนี้
รางวัลเชิดชูเกียรติผู้ประพันธ์เพลงดีเด่นในอดีต
- เพลงลุ่มเจ้าพระยา ประพันธ์โดย นายแก้ว อัจฉริยะกุล
- เพลงใครหนอ ประพันธ์โดย นายสุรพล โทณะวณิก
รางวัลประเภทการประพันธ์เพลงดีเด่นด้านภาษาไทย
- เพลงใจนำทาง ประพันธ์โดย นายสุทธิพงษ์ สมบัติจินดา
- เพลงวันว่างที่ตั้งใจ ประพันธ์โดย นายสลา คุณวุฒิ
- เพลงฉลาดทันคน ประพันธ์โดย นางช่อผกา คงแจ่ม
รางวัลการขับร้องเพลงดีเด่นด้านภาษาไทย
- เพลงควายไทย ขับร้องโดย นายยืนยง โอภากุล
- เพลงใจนำทาง ขับร้องโดย น.ส.ธนพร แวกประยูร (ปาน ธนพร)
- เพลงปลาดาวเงาจันทร์ ผู้ขับร้อง นายสร่างศัลย์ เรืองศรี (หนู มิเตอร์)
- เพลงจันทร์ ขับร้องโดย นางสาวฐิตาภา ใต้ไธสง (หญิง ฐิติกานต์)
รางวัลพิเศษพระคเณศทอง ของกรมศิลปากร 1 รางวัล ได้แก่
- น.ส.ธนพร แวกประยูร (ปาน ธนพร) เนื่องจากได้รับรางวัลชนะเลิศต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 4
วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
เจ้าชู้อย่าง..."ทศกัณฐ์"
คือเราเป็นคนชอบดูโขนน่ะ...เลยอยากจะนำเสนอตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ สักนิดหนึ่ง
ต้องขอบอกว่า หลังจากอ่านจบ 2 รอบ แล้วเราคิดว่า รามเกียรติ์ เป็นวรรณคดีที่สนุกมากๆเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ^^ แถมเรายังนำกลอนในเรื่องมาเป็นต้นแบบในการแต่งกลอนของเราเองด้วยนะ
ทศกัณฐ์ (แปลว่า "ผู้มีสิบหน้า") หรือท้าวราพณ์ (ภาษาเตลูกู เรียก ราวัน) เป็นตัวละครเอกตัวหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์ บุตรของท้าวลัสเตียนกับนางรัชฎา เจ้าครองกรุงลงกา เดิมเป็นยักษ์ชื่อ "นนทก" กลับชาติมาเกิด ซึ่งนนทกมีหน้าที่ล้างเท้าให้กับเทวดาทั้งหลาย เทวดาเหล่านั้นก็มักจะลูบหัวนนทกจนล้าน นนทกจึงเกิดความแค้น เลยไปขอนิ้วเพชรจากพระอิศวร แล้วทำร้ายพวกเทวดาที่มาลูบหัวตน นนทกได้เข่นฆ่าเหล่าเทวดาตายนับไม่ถ้วน ทำให้พระอิศวรต้องร้องขอพระนารายณ์ให้มาช่วยปราบนนทกให้
พระนารายณ์จัดการกับนนทก โดยการจำแลงองค์เป็นนางเทพอัปสรดักอยู่ตรงทางที่นนทกเดินผ่านเป็นประจำ ฝ่ายยักษ์นนทกเมื่อได้เห็นนางจำแลงจึงเกิดความหลงและเข้าไปเกี้ยวพาราสี นางจำแลงแสร้งทำยินดี โดยยื่นข้อเสนอว่าให้นนทกร่ายรำตามนางทุกท่าแล้วจะยินดีผูกมิตรด้วย และแล้วยักษ์นนทกก็ทำตามนาง โดยหารู้ไม่ว่านั่นเป็นเล่ห์กล จนกระทั่งถึงท่านาคาม้วนหางนิ้วเพชรของนนทกชี้ไปที่ขาของตัวเอง ขานนทกก็หักลงทันใด นนทกล้มลง ทันใดนั้น นางแปลงกลายเป็นพระนารายณ์เหยียบอกนนทกไว้
ก่อนตายนนทกอ้างว่าพระนารายณ์มีหลายมือตนสู้ไม่ได้ พระนารายณ์จึงให้คำสัตย์ว่า ให้นนทกไปเกิดใหม่ มีสิบเศียรสิบพักตร์ยี่สิบมือ เหาะเหินเดินอากาศได้ มีอาวุธนานาชนิดครบทุกมือ ส่วนพระนารายณ์จะไปเกิดเป็นมนุษย์มีสองมือและตามไปฆ่านนทกให้ได้ นนทกพอวิญญาณหลุดจากร่างก็ไปจุติในครรภ์พระนางรัชดา มเหสีท้าวลัสเตียน เจ้ากรุงลงกา เกิดมาเป็นโอรสนามว่า ทศกัณฐ์
ทศกัณฐ์ เป็นยักษ์รูปงาม มีสิบหน้า ยี่สิบกร ทรงมงกุฏชัย ลักษณะปากแสยะ ตาโพลง กายปกติสีเขียว แต่มีนิสัยเจ้าชู้ ตอนที่เกี้ยวพาราสีนางมณโฑได้เนรมิตร่างตนเองให้เป็นสีทอง
อาวุธของทศกัณฐ์มีดังกลอนต่อไปนี้
กระทืบบาทผาดโผนโจนร้อง กึกก้องฟากฟ้าอึงอุด
มือหนึ่งจับศรฤทธิรุทร มือสองนั้นยุดพระขรรค์ชัย
มือสามจับจักรกวัดแกว่ง มือสี่จับพระแสงหอกใหญ่
มือห้าจับตรีแกว่งไกว มือหกฉวยได้คฑาธร
มือเจ็ดนั้นจับง้าวง่า มือแปดคว้าได้พะเนินขอน
มือเก้ากุมเอาโตมร กรสิบนั้นหยิบเกาทัณฑ์
ไม่มีใครฆ่าทศกัณฐ์ให้ตายได้ เพราะได้ถอดดวงใจใส่กล่อง ฝากไว้กับอาจารย์ คือพระฤๅษีโคบุตร ด้วยความที่มีนิสัยเจ้าชู้ ใด้ลักพาตัวนางสีดาผู้มีรูปโฉมที่งดงาม ไปจากพระรามที่เป็นพระสวามี เป็นเหตุให้เกิดศึกสงครามระหว่าง ฝ่ายพระราม กับ ฝ่ายทศกัณฐ์ จนญาติมิตรของฝ่ายทศกัณฐ์ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก สุดท้ายทศกัณฐ์เองก็ต้องตายเพราะนิสัยเจ้าชู้และความไม่ยอมแพ้ของตน ซึ่งก่อนตาย ทศกัณฐ์ได้รู้ตัวแล้วว่าต้องตายแน่ แต่ด้วยขัตติยมานะจึงต้องต่อสู้กับพระราม จึงแต่งองค์อย่างงดงาม และถูกศรพรหมมาศของพระรามฆ่าตาย ก่อนตาย ทศกัณฐ์ได้เห็นภาพว่า แท้ที่จริงแล้วพระรามคือ พระนารายณ์อวตาร และได้สั่งเสียกับน้องชายตัวเอง คือ พิเภก ด้วยใบหน้าทั้งสิบ ซึ่งเรียกว่า "ทศกัณฐ์สอนน้อง" และภายหลังพิเภกก็ได้ครองกรุงลงกาสืบต่อแทน
ทศกัณฐ์ เป็นหนึ่งในยักษ์ทวารบาลสองตน ที่ยืนเฝ้าประตูทางเข้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามคู่กับสหัสเดชะ เพราะถือว่าเป็น ยักษ์ที่มีฤทธิ์มากเท่าเทียมกัน
มีการวิเคราะห์กันว่า ตัวละครอย่าง ทศกัณฐ์ หรือบรรดายักษ์ในเรื่อง เป็นตัวแทนของชาวทัสยุ หรือ ดารวิเดียน ซึ่งเป็นชนชาวผิวดำที่อยู่ทางตอนใต้ของอินเดียในสมัยโบราณ และพระราม หรือ พลพรรคลิง เป็นตัวแทนของชาวอารยัน หรือชาวผิวขาวที่อยู่ทางตอนเหนือ และชาวอารยันก็ได้ทำสงครามชนะชาวทัสยุ ซึ่งต่อมาก็ได้มีการแต่งวรรณกรรมเรื่อง รามเกียรติ์ นี้ขึ้นมาเพื่อยกย่องพวกตนเอง
ลูกและเมียของทศกัณฐ์
ทศกัณฐ์เจ้ายักษ์ร้ายในเรื่องรามเกียรติ์ เป็นยักษ์เจ้าชู้ เห็นผู้หญิงสวยไม่ได้ จะต้องหลงรักและแย่งชิงมาเป็นของตน ทำให้ทศกัณฐ์มีเมียและลูกมากมาย ดังนี้
๑.นางกาลอัคคี เป็นธิดาของท้าวกาลนาคแห่งเมืองบาดาล ในตอนแรก ท้าวกาลนาคคิดจะยกนางกาลอัคคีให้แก่ท้าวลัสเตียนซึ่งเป็นบิดาของทศกัณฐ์ แต่ท้าวลัสเตียนเห็นว่าพระองค์เองก็ชรามากแล้ว จึงยกนางกาลอัคคีให้ทศกัณฐ์แทน ซึ่งในเวลาต่อมา นางกาลอัคคีก็มีโอรสกับทศกัณฐ์ คือ บรรลัยกัลป์ เมื่อบรรลัยกัลป์มีอายุได้ ๕ ขวบ ท้าวกาลนาคผู้เป็นตาได้ขอไปเลี้ยงดูที่เมืองบาดาล และได้อาบน้ำว่านศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ตัวของบรรลัยกัลป์มีความลื่น ไม่มีใครสามารถจับได้ และอาวุธก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ จะต้องแฉลบลื่นไปหมด
จนในเวลาต่อมา บรรลัยกัลป์ได้ต่อสู้กับหนุมานเพื่อแก้แค้นให้ทศกัณฐ์ผู้เป็นบิดา หนุมานไม่อาจสังหารบรรลัยกัลป์ได้จึงมาขอคำแนะนำจากฤๅษีทิศไพที่ตั้งอาศรมในแถบนั้น ฤๅษีทิศไพก็บอกใบ้ให้หนุมานรู้ด้วยการโปรยฝุ่นทรายลงบนพื้น หนุมานจึงซัดทรายใส่ตัวบรรลัยกัลป์ ทำให้สามารถจับตัวบรรลัยกัลป์ได้และสังหารบรรลัยกัลป์ได้ในที่สุด
๒.นางมณโฑ เดิมเป็นนางกบ อาศัยอยู่กับพระฤๅษีสี่ตน ในวันหนึ่ง ได้เห็นนางอนงค์นาคี ซึ่งแค้นที่พระฤๅษีมาพูดให้ตนอับอาย พ่นพิษใส่ถังน้ำนม หมายจะให้พระฤๅษีได้ฉันจนตาย นางกบจึงได้กระโดดลงไปในถังน้ำนมและดื่มน้ำนมพิษจนขาดใจตาย เมื่อพระฤๅษีมาเห็นก็นึกตำหนิที่นางกบตะกละดื่มนมจนตาย จึงได้ชุบชีวิตนางกบขึ้นมาเพื่อต่อว่า แต่นางกบก็เล่าความจริงให้ฟัง พระฤๅษีจึงซึ้งในจิตใจของนางกบและชุบนางกบให้เป็นนางงาม ตั้งชื่อว่า นางมณโฑ ก่อนจะนำนางมณโฑไปถวายเป็นข้ารับใช้ให้พระแม่อุมาเทวี ซึ่งหลังจากได้เป็นมเหสีของทศกัณฐ์แล้ว นางมณโฑก็มีโอรสและธิดากับทศกัณฐ์ ดังนี้
๑.)อินทรชิต เดิมชื่อรณพักตร์ แต่สามารถรบชนะพระอินทร์ได้ ทศกัณฐ์จึงเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เป็น อินทรชิต แปลว่า ผู้ชนะพระอินทร์ ซึ่งอินทรชิตเคยได้รับพรจากพระพรหมว่า หากอินทรชิตหัวขาดตกถึงพื้น จะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ลุกท่วมโลก ต้องนำพานแว่นฟ้าของพระองค์ไปรองรับเท่านั้น จึงจะไม่เกิดไฟบรรลัยกัลป์ ซึ่งในเวลาต่อมา พระลักษมณ์ได้เป็นผู้แผลงศรไปตัดเศียรของอินทรชิตขาด และองคตซึ่งเป็นพี่ชายต่างบิดาของอินทรชิตได้เป็นผู้ไปนำพานแว่นฟ้ามารองรับเศียรของ
อินทรชิตไว้
๒.)นางสีดา เมื่อท้าวทศรถแห่งกรุงอโยธยาได้ทำพิธีขอโอรสจากสวรรค์ พระนารายณ์ พระลักษมี บัลลังก์อนันตนาคราช สังข์ จักรแก้ว และคทาวุธได้แบ่งภาคอวตารลงมายังโลกมนุษย์ โดยพระนารายณ์อวตารเป็นพระราม จักรแก้ว อวตารเป็นพระพรต สังข์และบัลลังก์อนันตนาคราชอวตารเป็นพระลักษมณ์ และคทาวุธอวตารเป็นพระสัตรุด ส่วนพระลักษมี อวตารเป็นธิดาของทศกัณฐ์กับนางมณโฑ แต่เมื่อแรกเกิดร้องว่า "ผลาญราพณ์" ๓ ครั้ง และเมื่อพิเภกทำนายดวงชะตาก็พบว่าเป็นกาลกิณีกับกรุงลงกา ทศกัณฐ์จึงสั่งให้นำธิดาน้อยใส่ผอบลอยทิ้งน้ำไป ต่อมา ฤๅษีชนก อดีตกษัตริย์แห่งกรุงมิถิลาได้พบผอบเข้า จึงนำไปเลี้ยงดูเป็นธิดา แต่เมื่อมีธิดาก็ไม่มีสมาธิบำเพ็ญเพียร จึงนำผอบไปฝังดินเพื่อฝากให้เหล่าเทพารักษ์และนางไม้ช่วยดูแล จนเวลาต่อมา ฤๅษีชนกคิดจะกลับไปครองราชย์ดังเดิม จึงได้ให้ นายโสม บ่าวรับใช้ไปนำวัวและคันไถมาเพื่อไถดินเอาผอบขึ้นมา เมื่อนำผอบขึ้นมาได้ก็พบว่า พระธิดาโตเป็นสาวแล้ว จึงตั้งชื่อให้ว่า สีดา แปลว่า รอยไถ ซึ่งในเวลาต่อมา นางสีดาก็ได้อภิเษกสมรสกับพระราม ก่อนจะถูกทศกัณฐ์ซึ่งเป็นบิดาชิงตัวไปยังกรุงลงกา จึงเกิดสงครามระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ขึ้น
๓.)ไพนาสุริยวงศ์ ในตอนที่ทศกัณฐ์สิ้นชีพนั้น นางมณโฑตั้งครรภ์ได้ ๑ เดือน และได้ประสูติพระโอรส ซึ่งท้าวทศคีรีวงศ์ (พิเภก) คิดว่าเป็นโอรสของตนจึงตั้งชื่อว่า ไพนาสุริยวงศ์และเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ซึ่งไพนาสุริยวงศ์ก็คิดว่าท้าวทศคีรีวงศ์คือพ่อของตนมาโดยตลอด จนกระทั่งไพนาสุริยวงศ์มีอายุได้ ๑๓ ปี ก็ได้ทราบความจริงจาก วรณีสูร ผู้เป็นพี่เลี้ยง จึงเดินทางไปขอความช่วยเหลือจาก ท้าวจักรวรรดิ แห่งเมืองมลิวัน สหายของทศกัณฐ์ ท้าวจักรวรรดิจึงยกทัพมาบุกกรุงลงกา และจับตัวท้าวทศคีรีวงศ์ไปขังคุกได้ ก่อนจะแต่งตั้งไพนาสุริยวงศ์เป็น ท้าวทศพิน กษัตริย์องค์ใหม่แห่งกรุงลงกา
เมื่อพระรามทราบว่าท้าวทศคีรีวงศ์ถูกจับไปขังคุก จึงได้มีบัญชาให้พระพรต และพระสัตรุด พระอนุชาทั้งสองยกทัพไปช่วยท้าวทศคีรีวงศ์ และท้าวทศพินก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ พระพรตจึงสั่งสำเร็จโทษท้าวทศพินและวรณีสูรทันที ก่อนจะยกทัพไปปราบท้าวจักรวรรดิต่อไป
๓.นางปลา ซึ่งทศกัณฐ์ได้พบรักกับนางปลาตัวหนึ่งจนเกิดเป็นธิดาคือ นางสุพรรณมัจฉา
ในคราวที่พระรามคุมพลทหารวานรให้นำก้อนหินถมถนนเพื่อข้ามไปยังกรุงลงกา ทศกัณฐ์ได้สั่งให้นางสุพรรณมัจฉา นำบริวารปลาคาบก้อนหินไปทิ้ง หนุมานจึงลงไปตรวจสอบดู พบนางสุพรรณมัจฉาเข้าก็หลงรัก จนได้นางเป็นเมีย ต่อมา นางสุพรรณมัจฉาก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายที่มีกายเป็นวานรขาวแบบหนุมาน แต่มีหางเป็นปลาเหมือนแม่ ตั้งชื่อให้ว่า มัจฉานุ ซึ่งนางสุพรรณมัจฉาเกรงว่าทศกัณฐ์อาจจะลงโทษตนถึงตายได้หากรู้ว่าไปมีลูกกับศัตรู จึงจำต้องทิ้งมัจฉานุเอาไว้บนเกาะ จนในเวลาต่อมา ไมยราพ แห่งเมืองบาดาลมาพบเข้า จึงนำไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม
๔.นางช้าง ทศกัณฐ์ไปพบรักกับนางช้างตัวหนึ่งเข้า ซึ่งในเวลาต่อมา นางช้างก็ให้กำเนิดโอรสฝาแฝด คือ ทศคีรีวัน และทศคีรีธร
ต่อมา ท้าวอัชกรรณมารา แห่งเมืองดุรัม สหายของทศกัณฐ์ซึ่งไม่มีบุตร ได้ขอทศคีรีวันและทศคีรีธรไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เมื่อทั้งสองพี่น้องโตเป็นหนุ่ม ก็กลับมาเยี่ยมทศกัณฐ์ผู้เป็นบิดา และได้ช่วยทศกัณฐ์ทำศึกกับพระราม และได้ถูกพระลักษมณ์สังหารทั้งคู่
๕.นางสนมพันตน ซึ่งทศกัณฐ์มีโอรสกับนางสนมพันตนคือ สหัสกุมาร ซึ่งเป็นโอรสแฝดพันตน โดยทศกัณฐ์ได้มีบัญชาให้สหัสกุมารคอยเฝ้าสวนขวัญอันเป็นที่ประทับของนางสีดาให้ดี จนในเวลาต่อมา หนุมานได้รับบัญชาจากพระรามให้นำแหวนมาถวายให้นางสีดา ก่อนกลับ หนุมานคิดอยากลองกำลังพวกยักษ์ จึงทำลายสวนขวัญจนราบคาบ สหัสกุมารจึงออกมาต่อสู้ แต่ก็ต้องถูกหนุมานสังหารสิ้นชีพทั้งพันตน
๖.นางสนมสิบตน ทศกัณฐ์มีโอรสกับนางสนมสิบตนคือ สิบรถ ซึ่งเป็นโอรสแฝดสิบตน ตั้งแต่ผมอ่านมา ยังไม่เคยเจอฉบับไหนเลยที่มีบทบาทของสิบรถ
ด้วยความที่ ทศกัณฐ์ มีเมียมากมายเช่นนี้ จึงเป็นทีมาของสำนวนที่ว่า "เจ้าชู้ยักษ์" นั่นเอง ^^
ที่มา : http://dek-d.com/board/view.php?id=1665174
ต้องขอบอกว่า หลังจากอ่านจบ 2 รอบ แล้วเราคิดว่า รามเกียรติ์ เป็นวรรณคดีที่สนุกมากๆเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ^^ แถมเรายังนำกลอนในเรื่องมาเป็นต้นแบบในการแต่งกลอนของเราเองด้วยนะ
ทศกัณฐ์ (แปลว่า "ผู้มีสิบหน้า") หรือท้าวราพณ์ (ภาษาเตลูกู เรียก ราวัน) เป็นตัวละครเอกตัวหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์ บุตรของท้าวลัสเตียนกับนางรัชฎา เจ้าครองกรุงลงกา เดิมเป็นยักษ์ชื่อ "นนทก" กลับชาติมาเกิด ซึ่งนนทกมีหน้าที่ล้างเท้าให้กับเทวดาทั้งหลาย เทวดาเหล่านั้นก็มักจะลูบหัวนนทกจนล้าน นนทกจึงเกิดความแค้น เลยไปขอนิ้วเพชรจากพระอิศวร แล้วทำร้ายพวกเทวดาที่มาลูบหัวตน นนทกได้เข่นฆ่าเหล่าเทวดาตายนับไม่ถ้วน ทำให้พระอิศวรต้องร้องขอพระนารายณ์ให้มาช่วยปราบนนทกให้
พระนารายณ์จัดการกับนนทก โดยการจำแลงองค์เป็นนางเทพอัปสรดักอยู่ตรงทางที่นนทกเดินผ่านเป็นประจำ ฝ่ายยักษ์นนทกเมื่อได้เห็นนางจำแลงจึงเกิดความหลงและเข้าไปเกี้ยวพาราสี นางจำแลงแสร้งทำยินดี โดยยื่นข้อเสนอว่าให้นนทกร่ายรำตามนางทุกท่าแล้วจะยินดีผูกมิตรด้วย และแล้วยักษ์นนทกก็ทำตามนาง โดยหารู้ไม่ว่านั่นเป็นเล่ห์กล จนกระทั่งถึงท่านาคาม้วนหางนิ้วเพชรของนนทกชี้ไปที่ขาของตัวเอง ขานนทกก็หักลงทันใด นนทกล้มลง ทันใดนั้น นางแปลงกลายเป็นพระนารายณ์เหยียบอกนนทกไว้
ก่อนตายนนทกอ้างว่าพระนารายณ์มีหลายมือตนสู้ไม่ได้ พระนารายณ์จึงให้คำสัตย์ว่า ให้นนทกไปเกิดใหม่ มีสิบเศียรสิบพักตร์ยี่สิบมือ เหาะเหินเดินอากาศได้ มีอาวุธนานาชนิดครบทุกมือ ส่วนพระนารายณ์จะไปเกิดเป็นมนุษย์มีสองมือและตามไปฆ่านนทกให้ได้ นนทกพอวิญญาณหลุดจากร่างก็ไปจุติในครรภ์พระนางรัชดา มเหสีท้าวลัสเตียน เจ้ากรุงลงกา เกิดมาเป็นโอรสนามว่า ทศกัณฐ์
ทศกัณฐ์ เป็นยักษ์รูปงาม มีสิบหน้า ยี่สิบกร ทรงมงกุฏชัย ลักษณะปากแสยะ ตาโพลง กายปกติสีเขียว แต่มีนิสัยเจ้าชู้ ตอนที่เกี้ยวพาราสีนางมณโฑได้เนรมิตร่างตนเองให้เป็นสีทอง
อาวุธของทศกัณฐ์มีดังกลอนต่อไปนี้
กระทืบบาทผาดโผนโจนร้อง กึกก้องฟากฟ้าอึงอุด
มือหนึ่งจับศรฤทธิรุทร มือสองนั้นยุดพระขรรค์ชัย
มือสามจับจักรกวัดแกว่ง มือสี่จับพระแสงหอกใหญ่
มือห้าจับตรีแกว่งไกว มือหกฉวยได้คฑาธร
มือเจ็ดนั้นจับง้าวง่า มือแปดคว้าได้พะเนินขอน
มือเก้ากุมเอาโตมร กรสิบนั้นหยิบเกาทัณฑ์
ไม่มีใครฆ่าทศกัณฐ์ให้ตายได้ เพราะได้ถอดดวงใจใส่กล่อง ฝากไว้กับอาจารย์ คือพระฤๅษีโคบุตร ด้วยความที่มีนิสัยเจ้าชู้ ใด้ลักพาตัวนางสีดาผู้มีรูปโฉมที่งดงาม ไปจากพระรามที่เป็นพระสวามี เป็นเหตุให้เกิดศึกสงครามระหว่าง ฝ่ายพระราม กับ ฝ่ายทศกัณฐ์ จนญาติมิตรของฝ่ายทศกัณฐ์ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก สุดท้ายทศกัณฐ์เองก็ต้องตายเพราะนิสัยเจ้าชู้และความไม่ยอมแพ้ของตน ซึ่งก่อนตาย ทศกัณฐ์ได้รู้ตัวแล้วว่าต้องตายแน่ แต่ด้วยขัตติยมานะจึงต้องต่อสู้กับพระราม จึงแต่งองค์อย่างงดงาม และถูกศรพรหมมาศของพระรามฆ่าตาย ก่อนตาย ทศกัณฐ์ได้เห็นภาพว่า แท้ที่จริงแล้วพระรามคือ พระนารายณ์อวตาร และได้สั่งเสียกับน้องชายตัวเอง คือ พิเภก ด้วยใบหน้าทั้งสิบ ซึ่งเรียกว่า "ทศกัณฐ์สอนน้อง" และภายหลังพิเภกก็ได้ครองกรุงลงกาสืบต่อแทน
ทศกัณฐ์ เป็นหนึ่งในยักษ์ทวารบาลสองตน ที่ยืนเฝ้าประตูทางเข้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามคู่กับสหัสเดชะ เพราะถือว่าเป็น ยักษ์ที่มีฤทธิ์มากเท่าเทียมกัน
มีการวิเคราะห์กันว่า ตัวละครอย่าง ทศกัณฐ์ หรือบรรดายักษ์ในเรื่อง เป็นตัวแทนของชาวทัสยุ หรือ ดารวิเดียน ซึ่งเป็นชนชาวผิวดำที่อยู่ทางตอนใต้ของอินเดียในสมัยโบราณ และพระราม หรือ พลพรรคลิง เป็นตัวแทนของชาวอารยัน หรือชาวผิวขาวที่อยู่ทางตอนเหนือ และชาวอารยันก็ได้ทำสงครามชนะชาวทัสยุ ซึ่งต่อมาก็ได้มีการแต่งวรรณกรรมเรื่อง รามเกียรติ์ นี้ขึ้นมาเพื่อยกย่องพวกตนเอง
ลูกและเมียของทศกัณฐ์
ทศกัณฐ์เจ้ายักษ์ร้ายในเรื่องรามเกียรติ์ เป็นยักษ์เจ้าชู้ เห็นผู้หญิงสวยไม่ได้ จะต้องหลงรักและแย่งชิงมาเป็นของตน ทำให้ทศกัณฐ์มีเมียและลูกมากมาย ดังนี้
๑.นางกาลอัคคี เป็นธิดาของท้าวกาลนาคแห่งเมืองบาดาล ในตอนแรก ท้าวกาลนาคคิดจะยกนางกาลอัคคีให้แก่ท้าวลัสเตียนซึ่งเป็นบิดาของทศกัณฐ์ แต่ท้าวลัสเตียนเห็นว่าพระองค์เองก็ชรามากแล้ว จึงยกนางกาลอัคคีให้ทศกัณฐ์แทน ซึ่งในเวลาต่อมา นางกาลอัคคีก็มีโอรสกับทศกัณฐ์ คือ บรรลัยกัลป์ เมื่อบรรลัยกัลป์มีอายุได้ ๕ ขวบ ท้าวกาลนาคผู้เป็นตาได้ขอไปเลี้ยงดูที่เมืองบาดาล และได้อาบน้ำว่านศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ตัวของบรรลัยกัลป์มีความลื่น ไม่มีใครสามารถจับได้ และอาวุธก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ จะต้องแฉลบลื่นไปหมด
จนในเวลาต่อมา บรรลัยกัลป์ได้ต่อสู้กับหนุมานเพื่อแก้แค้นให้ทศกัณฐ์ผู้เป็นบิดา หนุมานไม่อาจสังหารบรรลัยกัลป์ได้จึงมาขอคำแนะนำจากฤๅษีทิศไพที่ตั้งอาศรมในแถบนั้น ฤๅษีทิศไพก็บอกใบ้ให้หนุมานรู้ด้วยการโปรยฝุ่นทรายลงบนพื้น หนุมานจึงซัดทรายใส่ตัวบรรลัยกัลป์ ทำให้สามารถจับตัวบรรลัยกัลป์ได้และสังหารบรรลัยกัลป์ได้ในที่สุด
๒.นางมณโฑ เดิมเป็นนางกบ อาศัยอยู่กับพระฤๅษีสี่ตน ในวันหนึ่ง ได้เห็นนางอนงค์นาคี ซึ่งแค้นที่พระฤๅษีมาพูดให้ตนอับอาย พ่นพิษใส่ถังน้ำนม หมายจะให้พระฤๅษีได้ฉันจนตาย นางกบจึงได้กระโดดลงไปในถังน้ำนมและดื่มน้ำนมพิษจนขาดใจตาย เมื่อพระฤๅษีมาเห็นก็นึกตำหนิที่นางกบตะกละดื่มนมจนตาย จึงได้ชุบชีวิตนางกบขึ้นมาเพื่อต่อว่า แต่นางกบก็เล่าความจริงให้ฟัง พระฤๅษีจึงซึ้งในจิตใจของนางกบและชุบนางกบให้เป็นนางงาม ตั้งชื่อว่า นางมณโฑ ก่อนจะนำนางมณโฑไปถวายเป็นข้ารับใช้ให้พระแม่อุมาเทวี ซึ่งหลังจากได้เป็นมเหสีของทศกัณฐ์แล้ว นางมณโฑก็มีโอรสและธิดากับทศกัณฐ์ ดังนี้
๑.)อินทรชิต เดิมชื่อรณพักตร์ แต่สามารถรบชนะพระอินทร์ได้ ทศกัณฐ์จึงเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เป็น อินทรชิต แปลว่า ผู้ชนะพระอินทร์ ซึ่งอินทรชิตเคยได้รับพรจากพระพรหมว่า หากอินทรชิตหัวขาดตกถึงพื้น จะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ลุกท่วมโลก ต้องนำพานแว่นฟ้าของพระองค์ไปรองรับเท่านั้น จึงจะไม่เกิดไฟบรรลัยกัลป์ ซึ่งในเวลาต่อมา พระลักษมณ์ได้เป็นผู้แผลงศรไปตัดเศียรของอินทรชิตขาด และองคตซึ่งเป็นพี่ชายต่างบิดาของอินทรชิตได้เป็นผู้ไปนำพานแว่นฟ้ามารองรับเศียรของ
อินทรชิตไว้
๒.)นางสีดา เมื่อท้าวทศรถแห่งกรุงอโยธยาได้ทำพิธีขอโอรสจากสวรรค์ พระนารายณ์ พระลักษมี บัลลังก์อนันตนาคราช สังข์ จักรแก้ว และคทาวุธได้แบ่งภาคอวตารลงมายังโลกมนุษย์ โดยพระนารายณ์อวตารเป็นพระราม จักรแก้ว อวตารเป็นพระพรต สังข์และบัลลังก์อนันตนาคราชอวตารเป็นพระลักษมณ์ และคทาวุธอวตารเป็นพระสัตรุด ส่วนพระลักษมี อวตารเป็นธิดาของทศกัณฐ์กับนางมณโฑ แต่เมื่อแรกเกิดร้องว่า "ผลาญราพณ์" ๓ ครั้ง และเมื่อพิเภกทำนายดวงชะตาก็พบว่าเป็นกาลกิณีกับกรุงลงกา ทศกัณฐ์จึงสั่งให้นำธิดาน้อยใส่ผอบลอยทิ้งน้ำไป ต่อมา ฤๅษีชนก อดีตกษัตริย์แห่งกรุงมิถิลาได้พบผอบเข้า จึงนำไปเลี้ยงดูเป็นธิดา แต่เมื่อมีธิดาก็ไม่มีสมาธิบำเพ็ญเพียร จึงนำผอบไปฝังดินเพื่อฝากให้เหล่าเทพารักษ์และนางไม้ช่วยดูแล จนเวลาต่อมา ฤๅษีชนกคิดจะกลับไปครองราชย์ดังเดิม จึงได้ให้ นายโสม บ่าวรับใช้ไปนำวัวและคันไถมาเพื่อไถดินเอาผอบขึ้นมา เมื่อนำผอบขึ้นมาได้ก็พบว่า พระธิดาโตเป็นสาวแล้ว จึงตั้งชื่อให้ว่า สีดา แปลว่า รอยไถ ซึ่งในเวลาต่อมา นางสีดาก็ได้อภิเษกสมรสกับพระราม ก่อนจะถูกทศกัณฐ์ซึ่งเป็นบิดาชิงตัวไปยังกรุงลงกา จึงเกิดสงครามระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ขึ้น
๓.)ไพนาสุริยวงศ์ ในตอนที่ทศกัณฐ์สิ้นชีพนั้น นางมณโฑตั้งครรภ์ได้ ๑ เดือน และได้ประสูติพระโอรส ซึ่งท้าวทศคีรีวงศ์ (พิเภก) คิดว่าเป็นโอรสของตนจึงตั้งชื่อว่า ไพนาสุริยวงศ์และเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ซึ่งไพนาสุริยวงศ์ก็คิดว่าท้าวทศคีรีวงศ์คือพ่อของตนมาโดยตลอด จนกระทั่งไพนาสุริยวงศ์มีอายุได้ ๑๓ ปี ก็ได้ทราบความจริงจาก วรณีสูร ผู้เป็นพี่เลี้ยง จึงเดินทางไปขอความช่วยเหลือจาก ท้าวจักรวรรดิ แห่งเมืองมลิวัน สหายของทศกัณฐ์ ท้าวจักรวรรดิจึงยกทัพมาบุกกรุงลงกา และจับตัวท้าวทศคีรีวงศ์ไปขังคุกได้ ก่อนจะแต่งตั้งไพนาสุริยวงศ์เป็น ท้าวทศพิน กษัตริย์องค์ใหม่แห่งกรุงลงกา
เมื่อพระรามทราบว่าท้าวทศคีรีวงศ์ถูกจับไปขังคุก จึงได้มีบัญชาให้พระพรต และพระสัตรุด พระอนุชาทั้งสองยกทัพไปช่วยท้าวทศคีรีวงศ์ และท้าวทศพินก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ พระพรตจึงสั่งสำเร็จโทษท้าวทศพินและวรณีสูรทันที ก่อนจะยกทัพไปปราบท้าวจักรวรรดิต่อไป
๓.นางปลา ซึ่งทศกัณฐ์ได้พบรักกับนางปลาตัวหนึ่งจนเกิดเป็นธิดาคือ นางสุพรรณมัจฉา
ในคราวที่พระรามคุมพลทหารวานรให้นำก้อนหินถมถนนเพื่อข้ามไปยังกรุงลงกา ทศกัณฐ์ได้สั่งให้นางสุพรรณมัจฉา นำบริวารปลาคาบก้อนหินไปทิ้ง หนุมานจึงลงไปตรวจสอบดู พบนางสุพรรณมัจฉาเข้าก็หลงรัก จนได้นางเป็นเมีย ต่อมา นางสุพรรณมัจฉาก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายที่มีกายเป็นวานรขาวแบบหนุมาน แต่มีหางเป็นปลาเหมือนแม่ ตั้งชื่อให้ว่า มัจฉานุ ซึ่งนางสุพรรณมัจฉาเกรงว่าทศกัณฐ์อาจจะลงโทษตนถึงตายได้หากรู้ว่าไปมีลูกกับศัตรู จึงจำต้องทิ้งมัจฉานุเอาไว้บนเกาะ จนในเวลาต่อมา ไมยราพ แห่งเมืองบาดาลมาพบเข้า จึงนำไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม
๔.นางช้าง ทศกัณฐ์ไปพบรักกับนางช้างตัวหนึ่งเข้า ซึ่งในเวลาต่อมา นางช้างก็ให้กำเนิดโอรสฝาแฝด คือ ทศคีรีวัน และทศคีรีธร
ต่อมา ท้าวอัชกรรณมารา แห่งเมืองดุรัม สหายของทศกัณฐ์ซึ่งไม่มีบุตร ได้ขอทศคีรีวันและทศคีรีธรไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เมื่อทั้งสองพี่น้องโตเป็นหนุ่ม ก็กลับมาเยี่ยมทศกัณฐ์ผู้เป็นบิดา และได้ช่วยทศกัณฐ์ทำศึกกับพระราม และได้ถูกพระลักษมณ์สังหารทั้งคู่
๕.นางสนมพันตน ซึ่งทศกัณฐ์มีโอรสกับนางสนมพันตนคือ สหัสกุมาร ซึ่งเป็นโอรสแฝดพันตน โดยทศกัณฐ์ได้มีบัญชาให้สหัสกุมารคอยเฝ้าสวนขวัญอันเป็นที่ประทับของนางสีดาให้ดี จนในเวลาต่อมา หนุมานได้รับบัญชาจากพระรามให้นำแหวนมาถวายให้นางสีดา ก่อนกลับ หนุมานคิดอยากลองกำลังพวกยักษ์ จึงทำลายสวนขวัญจนราบคาบ สหัสกุมารจึงออกมาต่อสู้ แต่ก็ต้องถูกหนุมานสังหารสิ้นชีพทั้งพันตน
๖.นางสนมสิบตน ทศกัณฐ์มีโอรสกับนางสนมสิบตนคือ สิบรถ ซึ่งเป็นโอรสแฝดสิบตน ตั้งแต่ผมอ่านมา ยังไม่เคยเจอฉบับไหนเลยที่มีบทบาทของสิบรถ
ด้วยความที่ ทศกัณฐ์ มีเมียมากมายเช่นนี้ จึงเป็นทีมาของสำนวนที่ว่า "เจ้าชู้ยักษ์" นั่นเอง ^^
ที่มา : http://dek-d.com/board/view.php?id=1665174
วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
Vincent Willem van Gogh
Vincent Willem van Gogh (né le 30 mars 1853 à Groot-Zundert aux Pays-Bas - mort le 29 juillet 1890 à Auvers-sur-Oise en France) est un peintre et dessinateur néerlandais.
L'héritage Van Gogh est composé de plus de huit cents lettres écrites à sa famille et à ses amis et plus de deux mille toiles et dessins principalement faits entre 1880-1890. 652 de ses lettres sont écrites à son frère Théodore van Gogh, dit « Théo », avec qui il a une relation proche. Peu connu dans les années 1890, il n'avait été remarqué que par un petit nombre d'auteurs et de peintres symbolistes en France, aux Pays-Bas, en Belgique et au Danemark. Dans les années 1930, ses œuvres attiraient déjà cent vingt mille personnes à l'exposition du Musée d'Art moderne de New York.
Son œuvre pleine de naturalisme, inspirée par l'impressionnisme, le divisionnisme et le pointillisme, annonce le fauvisme et l'expressionnisme. Ce hollandais, qui préfère signer seulement « Vincent » ses peintures, est aujourd'hui un des peintres les plus connus du monde entier.
La famille de Vincent van Gogh :
La famille Van Gogh est d'ancienne bourgeoisie, déjà notable au XVIe siècle et XVIIe siècle. L'état de pasteur est une tradition familiale3, de même que le commerce de l'art. Par exemple, le grand-père de Vincent (1789-1874) a fini la faculté de théologie à l'Université de Leiden en 1811. Trois de ses fils sont devenus des marchands d'art.
Vincent Willem Van Gogh naît le 30 mars 1853 à Groot-Zundert, un petit village (relais de diligence sur la route Paris-Amsterdam) près de Bréda dans l'ouest du Brabant-Septentrional, au sud des Pays-Bas. Il est le fils aîné de Theodorus van Gogh, pasteur de l'Église réformée à Groot-Zundert depuis 1849 et d'Anna Cornelia, née Carbentus, fille d'un relieur de la cour. Le couple s'est marié le 21 mai 1851 à La Haye. Les mariés sont déjà beau-frère et belle-sœur, puisque Cornelia Carbentus, la sœur de la mariée avait épousé Vincent van Vogh, le frère de Theodorus le 6 novembre 1850. Theodorus compte dix frères et sœurs; plusieurs de ses oncles ont joué un rôle déterminant dans la vie de Vincent. On retrouve parmi ces oncles, Hendrik Vincent van Gogh, l'« oncle Hein », marchand d'objets d'art à Bruxelles; Johannes van Gogh, l'« oncle Jan », de grade d'amiral chez qui Vincent a habité pendant plus d'un an à Amsterdam; Cornelis Marinus van Gogh, l'« oncle Cor », également marchant d'art et Vincent van Gogh, l'« oncle Cent », son parrain qui a réussi à s'associer à la chaîne de galeries de l'éditeur d'art parisien Goupil & Cie.
Exactement un an avant la naissance de Vincent, c'est-à-dire le 30 mars 1852, le tout premier fils du couple Theodorus et Anna Cornelia était venu au monde mort-né. Il s'appelait Vincent Willem, d'après les prénoms des deux grands-pères, comme le grand peintre. Selon certains, il est possible que cette coïncidence d'anniversaire ait développé la tendance de Vincent au paradoxe3. La famille Van Gogh a connu six enfants: Vincent, Anna Cornelia (née en 1855), Théo (1er mai 1857-25 janvier 1891), Elisabetha Huberta (« Liss », 16 mars 1859-29 novembre 1936), Willemina Jacoba (« Wil » ou « Wilkie », 16 mars 1862-1941) et Cornelis Vincent (« Cor », 17 mai 1867-1900). On retrouve une vingtaine de lettres échangées avec Willemina datant de la fin de la vie de Vincent et un échange continuel avec son frère Théo, qui devient son confesseur.
Jeunesse de Van Gogh
Enfance (1853–1869)
En 1860, il entre à l'école de 200 élèves de Zundert. À partir de 1861, Van Gogh et sa sœur Anna suivent leur scolarité auprès d'une institutrice qui leur donne des cours à la maison jusqu'au 1er octobre 1864, date à laquelle il part pour l'internat de Jan Provily à Zevenbergen, une ville rattachée à la commune de Moerdijk à 30 km. Il y apprend le français, l'anglais et l'allemand. Il réalise ses premiers essais de dessin3. Van Gogh vit assez mal cette séparation avec sa famille. Le 15 septembre 1866, il entre au collège Guillaume II à Tilburg mais en mars 1868, il quitte précipitamment l'école et retourne chez ses parents à Zundert. En été 1869, il débute comme employé à la galerie d'art Goupil & Cie, à La Haye. Le jeune Van Gogh y apprend le commerce de l'art. Cette même entreprise procurera du travail à Théo à partir de 1873.
Marchand d'art (1869-1878)
Le 30 juillet 1869, à l'âge de seize ans, Vincent devient apprenti auprès du marchand d'art Goupil & Cie à La Haye, filiale fondée par son oncle Hein[6]. En 1871, son père est muté à Helvoirt; Vincent y passe ses vacances en 1872, avant de visiter Théo à La Haye.
Après sa formation, qu'il termine brillamment, il est engagé chez Goupil & Cie et effectue un bref stage à Bruxelles. En juin 1873, Adolphe Goupil l'envoie dans la succursale de Londres. Dans cette ville anglaise, il loge au 87 Hackford Road, Brixton et travaille au 17 Southampton Street, Strand[Lettre 1]. Selon la future femme de Théo, Johanna Bonger, celle qui aura un rôle clé pour faire valoir ses œuvres, c'était la période la plus heureuse de sa vie[7].. Il réussissait sa vie et à 20 ans, il gagnait déjà plus que son père.
Il tombe amoureux d'Eugénie[Note 2] Loyer, la fille de sa logeuse ; mais lorsqu'il lui révèle ses sentiments, elle lui avoue qu'elle s'est déjà secrètement engagée avec le locataire précédent[8]. Van Gogh s'isole de plus en plus ; dans le même temps, il développe un fervent intérêt pour la religion. Son zèle réligieux prend des proportions qui inquiète sa famille.
Son père et son oncle l'envoient à Paris, où il est choqué de voir l'art traité comme un produit et une marchandise, ce qu'il dénonce à certains clients et qui provoque son licenciement le 1er avril 1876[9],[10].
Il se sent alors une vocation spirituelle et religieuse. Il retourne en Angleterre où, pendant quelque temps, il travaille bénévolement, d'abord comme professeur suppléant dans un petit internat donnant sur le port de Ramsgate. Il a d'ailleurs fait quelques croquis de la ville. À son frère Théo, il écrit
« À Londres, je me suis souvent arrêté pour dessiner sur les rives de la Tamise en revenant de Southampton Street le soir, et cela n'aboutissait à rien; il aurait fallu que quelqu'un m'explique la perspective[11]. »
Comme l'école doit par la suite déménager à Isleworth dans le Middlesex[Note 3], Van Gogh décide de s'y rendre. Mais le déménagement n'a finalement pas lieu, et Van Gogh reste sur place, devient un fervent animateur du mouvement méthodiste et veut « prêcher l'Évangile partout ».
À Noël 1876, il retourne chez ses parents et travaille alors dans une librairie de Dordrecht aux Pays-Bas pendant six mois. Toutefois, il n'y est pas heureux. Il passe la majeure partie de son temps dans l'arrière boutique du magasin à dessiner ou à traduire des passages de la Bible en anglais, en français et en allemand. Son compagnon de chambre de l'époque, un jeune professeur appelé Görlitz, expliqua plus tard que Van Gogh se nourrissait avec parcimonie. « Il ne mangeait pas de viande, juste un petit morceau le dimanche, et seulement après que notre propriétaire eut longuement insisté. Quatre pommes de terre avec un soupçon de sauce et une bouchée de légumes constituaient son dîner. »[12] .
Le soutenant dans son désir de devenir pasteur, sa famille l'envoie en mai 1877 à Amsterdam, où il séjourne chez son oncle Jan, amiral de la marine. Vincent se prépare pour l'université et étudie la théologie avec son oncle Johannes Stricker, un théologien respecté[Note 4]. Malheureusement, Van Gogh échoue à ses examens. Il quitte alors le domicile de son oncle Jan, en juillet 1878, et suit des cours pendant trois mois à l'école protestante de Laeken, près de Bruxelles, mais il échoue à nouveau et abandonne ses études pour devenir prédicateur laïc.
Prédicateur (1879-1880)
Fin 1878, Van Gogh obtient une mission d'évangéliste en Belgique, auprès des mineurs de charbon du Borinage, dans la région de Mons. Il y devient un prédicateur solidaire des luttes contre le patronat.
Sa traversée du Borinage commence dans la commune de Pâturages (Colfontaine) en 1878. Il y est accueilli par un pasteur qui l'installe chez un colporteur au no 39 de la rue de l'Église. Il part ensuite pour Wasmes (Colfontaine), dans une maison que très vite, il juge trop luxueuse et qu'il ne tarde pas à quitter pour s'installer dans une simple cabane. Poussant ses convictions à leur conclusion logique, Van Gogh choisit de vivre comme ceux auprès desquels il prêche, partageant leurs difficultés jusqu'à dormir sur la paille dans sa petite hutte au fond de la maison du boulanger chez lequel il réside. Il consacre tout aux mineurs et à leur famille. Il va même jusqu'à descendre à 700 mètres au fond de la mine. Lors d'un coup de grisou, il sauve un mineur. Mais ses activités de prêtre ouvrier ne tardent pas à être désapprouvées13 et cela le choque. Accusé d'être un meneur, Vincent van Gogh est contraint d'abandonner la mission qu'il s'était donnée, sa mission étant suspendue par le Comité d'évangélisation14. Il en garde l'image de la misère humaine qui apparaîtra dans une partie de son œuvre. Il se rend alors à Bruxelles puis revient brièvement à Cuesmes (Mons), où il s'installe dans la maison située au no 3 de la rue du Pavillon. Toutefois, sous la pression de ses parents, il revient chez eux à Etten, y reste jusqu'en mars 1880 au grand dam de ses parents qui sont de plus en plus préoccupés à son égard. Un conflit considérable éclate entre Vincent et son père, ce dernier allant jusqu'à se renseigner pour faire admettre son fils à l'asile de Geel. Van Gogh s'enfuit de nouveau et se réfugie à Cuesmes (Mons), où il loge jusqu'en octobre 1880 chez le mineur Charles Decrucq.
Peinture de Van Gogh
Il s'intéresse de plus en plus aux personnes l'entourant et aux scènes quotidiennes qu'il commence à représenter dans certains croquis à la mine de plomb, au fusain ou au crayon[15]. En novembre 1880, Van Gogh écoute les conseils avisés de son frère Théo à prendre l'art au sérieux. Sur les recommandations de Théo, il se rend à Bruxelles, afin d'étudier la peinture avec l'artiste hollandais Willem Roelofs. Ce dernier réussit à le persuader (en dépit de l'aversion de Van Gogh d'apprendre l'art dans une école) de s'inscrire à l'Académie royale des beaux-arts de Bruxelles. Il s'y inscrit le 15 novembre 1880 pour les cours du soir et étudie non seulement l'anatomie, mais aussi les règles de la composition et de la perspective.
1880-1885 : aux Pays-Bas
1880-1882 : les années de formation
Van Gogh a dessiné et a peint des aquarelles alors qu'il allait à l'école, mais très peu de ces travaux ont survécu. En 1880, il a commencé à se consacrer à l'art en copiant le Cours de dessin de Charles Bargue, puis des lithographies et des gravures sur bois en s’inspirant des œuvres de Jean-François Millet, artiste pour lequel il conserva jusqu’à la fin de sa vie une véritable vénération. Pendant cette période, il est soutenu matériellement par Théo, employé de Goupil et Cie à Bruxelles.
Van Gogh s'intéresse aux artistes renommés de l'école de La Haye (un groupe d'artistes comme Johan Hendrik Weissenbruch ou Bernard Blommers qui lui apportent un soutien technique, mais aussi à des peintres comme Théophile de Bock et Herman Johannes van der Weele qui, entre 1860 et 1890, sont fortement influencés par la peinture réaliste de l'école de Barbizon). Lorsqu'il se rend à Nuenen, après un intermède à Drenthe, il commence à réaliser diverses peintures de grande taille qu'il a pour la plupart détruites. Les Mangeurs de pommes de terre, la Vieille Tour du cimetière de Nuenen et le Cottage, sont les seules qui aient survécu. Après une visite au Rijksmuseum d'Amsterdam, Van Gogh se rend compte que ses peintures présentent beaucoup de défauts en raison de son manque d'expérience et de technique. Il part alors à Anvers, et plus tard à Paris pour perfectionner ses connaissances.
Le 24 septembre 1880, à Cuesmes, au souvenir de son pèlerinage à pied vers Courrières, où il s'était arrêté sans avoir eu le courage d'entrer dans l'atelier de Jules Breton, l'estimable peintre de paysans français, Vincent écrivait à son frère Théo à propos de ce voyage éreintant et de l'état de prostration physique et morale dans lequel il s'était retrouvé :
« Je ne le regrette pas car j'ai vu des choses intéressantes, et on apprend à voir d'un autre œil encore tout juste dans les rudes épreuves de la misère même... Eh bien ! pourtant ça a été dans cette forte misère que j'ai senti mon énergie revenir, et que je me suis dit : "Quoi qu'il en soit j'en remonterai encore, je reprendrai mon crayon que j'ai délaissé dans mon grand découragement, et je me remettrai au dessin"...C'était la trop longue et trop grande misère qui m'avait à ce point découragé que je ne pouvais plus rien faire. Une autre chose que j'ai vue lors de cette excursion, c'est les villages de tisserands. Les charbonniers (mineurs) et les tisserands sont encore une race à part quelque peu des autres travailleurs et artisans, et je sens pour eux une grande sympathie, et me compterais heureux si un jour je pourrais les dessiner en sorte que ces types encore inédits ou presque inédits, fussent mis au jour. »
— Lettre à Théo du 24 septembre 1880
En 1881, à Etten, où résident ses parents, il dessine des portraits, des sujets paysans d’après nature mais surtout des paysages d’une grande richesse calligraphique et dignes de la tradition extrême-orientale.
1882-1883 : La Haye
En conflit avec son père, et essuyant un second échec sentimental avec Kee Vostricker, une proche cousine, qui vient de perdre son mari, il finit par quitter le domicile familial après une violente dispute et s'installe pour un temps à La Haye au cours de Noël 1881.
« Je sens que père et mère réagissent instinctivement à mon sujet (je ne dis pas intelligemment).
On hésite à m’accueillir à la maison, comme on hésiterait à recueillir un grand chien hirsute. Il entrera avec ses pattes mouillées — et puis il est très hirsute. Il gênera tout le monde. Et il aboie bruyamment.
Bref — c’est une sale bête.
Bien — mais l’animal a une histoire humaine et, bien que ce ne soit qu’un chien, une âme humaine. Qui plus est, une âme humaine assez sensible pour sentir ce qu’on pense de lui, alors qu’un chien ordinaire en est incapable.
Quant à moi, je veux bien admettre d’être un chien, et cela ne change rien à leur valeur.
Le chien comprend que, si on le gardait, cela serait pour le supporter, le tolérer dans cette maison ; par conséquent il va essayer de trouver une niche ailleurs. Oh ! ce chien est le fils de notre père, mais on l’a laissé courir si souvent dans la rue qu’il a dû nécessairement devenir plus hargneux. Bah ! père a oublié ce détail pendant des années, il n’y a donc plus lieu d’en parler.
Tout cela est exact incontestablement.
Mais n’oublions pas que les chiens sont d’excellents gardiens.
Cela n’entre pas en ligne de compte, aucun danger ne menace notre paix rien ne vient troubler l’ambiance, dit-on. Moi aussi, je vais donc me taire.
Évidemment, le chien regrette à part lui d’être venu jusqu’ici ; la solitude était moins grande dans la bruyère que dans cette maison, en dépit de toutes leurs gentillesses. L’animal est venu en visite dans un accès de faiblesse. J’espère qu’on me pardonnera cette défaillance ; quant à moi, j’éviterai d’y verser encore à l’avenir ? [...] »
— Vincent van Gogh, Extrait de la lettre 346N à Théo)
« Je crois qu’une parole énergique de toi pourrait arranger bien des choses. Toi, tu es capable de me comprendre quand j’affirme qu’on a besoin d’amour pour travailler et pour devenir un artiste, un artiste qui cherche à mettre du sentiment dans son œuvre : il lui faut d’abord sentir lui-même et vivre avec son cœur. Père et mère sont plus durs que pierre en ce qui concerne « mes moyens d’existence » comme ils disent. Ils auraient raison s’il était question de nous marier tout de suite. Sur ce point, je suis parfaitement d’accord avec eux. Mais en l’occurrence il s’agit d’abord de dégeler ce jamais, non, jamais de la vie ! et « des moyens d’existence » n’y réussirait guère. Là n’est pas la question, c’est une affaire de cœur ; voilà pourquoi nous devons nous voir, nous écrire, nous parler. C’est clair comme le jour, c’est simple et c’est sensé. Je t’assure que je ne me laisserai détourner de cet amour pour rien au monde (bien qu’on me considère comme un faible, comme un homme en pain d’épice). Il n’est pas question pour moi de remettre d’aujourd’hui au lendemain, du lendemain au surlendemain, et d’attendre en silence. Est-ce qu’on peut demander à l’alouette de se taire aussi longtemps qu’elle a de la voix ? »
— Extraits de ses lettres à son frère Théo, novembre 1881 (Lettres de Vincent à Théo)
Il y reçoit des leçons de peinture de son cousin Anton Mauve et pratique alors essentiellement l’aquarelle et étudie la perspective.
Durant ses deux premières années, il cherche des commandes et au printemps 1882, son oncle, Cornelis Marinus (propriétaire d'une galerie d'art renommée à Amsterdam) lui demande de fournir des dessins de La Haye. Le travail de Van Gogh ne s'avère pas à la hauteur des espérances de son oncle, qui lui passe tout de même une deuxième commande. Bien qu'il lui ait décrit en détail ce qu'il attendait de lui, il est de nouveau déçu par le résultat.
C'est au cours de l'été 1882 qu'il commence la peinture à l'huile.
« Ne va pas te figurer que je me considère comme parfait, ni que je m’imagine sans reproche quand tant de personnes parlent de mon caractère impossible. Il m’arrive souvent d’être mélancolique, susceptible et intraitable ; de soupirer après de la sympathie comme si j’avais faim et soif ; de me montrer indifférent et méchant lorsqu’on me refuse cette sympathie, et même de verser parfois de l’huile sur le feu. Je n’aime pas beaucoup la compagnie des autres, il m’est souvent pénible ou insupportable de les fréquenter ou de bavarder avec des gens. Mais connais-tu l’origine de tout cela, du moins en grande partie ? Tout simplement ma nervosité ; je suis extrêmement sensible, autant au physique qu’au moral, et cela date de mes années noires. Demande donc au médecin – il comprendra tout de suite de quoi il s’agit – s’il pourrait en être autrement, si les nuits passées dans les rues froides, à la belle étoile, si la peur de ne pas avoir à manger un morceau de pain, si la tension incessante résultant du fait que je n’avais pas de situation, si tous mes ennuis avec les amis et la famille ne sont pas pour trois quarts à l’origine de certains traits de mon caractère, de mes sautes d’humeur et de mes périodes de dépression... »
— Extrait d'une de ses lettres à son frère Théo, juillet 1882 (Lettres de Vincent à Théo)
Néanmoins, Van Gogh persévère dans son travail. Il améliore l'éclairage de son atelier en y installant des obturateurs variables et il fait de nombreuses expériences de dessin avec une grande variété de matériaux. Pendant plus d'une année il a travaillé sur des figures simples, en réalisant notamment des études en « noir et blanc », travail qui ne lui a alors apporté que des critiques. Aujourd'hui, ces études sont pourtant considérées comme ses premiers chefs-d'œuvre.
À partir du printemps 1883, il s'intéresse à des compositions plus élaborées, basées sur le dessin. Très peu de ces dessins ont survécu car, lorsque son frère lui confie qu'ils manquent de nervosité et de fraîcheur, Van Gogh les détruit et se tourne vers la peinture à l'huile.
Les vingt mois qu'il passe à La Haye (entre 1882 et 1883) semblent décisifs pour l’artiste, qui réalise sa volonté de rompre avec les conventions morales de son milieu social, et son impossibilité de mener une existence normale. De nombreuses lectures, Honoré de Balzac, Victor Hugo, Émile Zola ou encore Charles Dickens, viennent enrichir sa vision du monde, et renforcent ses convictions sociales.
1883-1883 : Province de Drenthe
De septembre à décembre 1883, Vincent séjourne en solitaire dans la province de Drenthe, au nord des Pays-Bas, où il s'acharne à travailler pour accomplir sa destinée de peintre. C'est l'unique remède qu’il trouve à un profond sentiment de détresse. Au terme de cette nouvelle expérience, il décide de rejoindre sa famille installée depuis peu à Nuenen, dans le Brabant-Septentrional, dans le presbytère paternel.
1884-1885 : Nuenen
Il commence alors diverses peintures de grande taille qu'il a pour la plupart détruites. Les Mangeurs de pommes de terre, la Vieille Tour du cimetière de Nuenen et le Cottage, sont les seuls qui ont survécu. Après une visite au Rijksmuseum d'Amsterdam, Van Gogh se rend compte que ses peintures présentent beaucoup de défauts en raison de son manque d'expérience.
En 1884, il en profite pour faire des séries de tableaux sur des thèmes similaires, notamment sur les tisserands. De retour dans sa famille à Nuenen, moins de quatre ans plus tard, Van Gogh réalisera la célèbre série de toiles représentant des tisserands. Dont l'exemple munichois Tisserand devant une fenêtre ouverte avec vue sur la tour de Nuenen explique clairement le sentiment moralisateur qui permet à l'artiste d'aborder le sujet, sentiment exprimé par la fenêtre ouverte sur la tour du cimetière de Nuenen (dont la démolition pendant l'été 1885 est attestée par une série de vues) et par la paysanne penchée dans les champs. Dans cette œuvre, son amour pour les humbles, sa religiosité profonde, un vague espoir de rédemption grâce au travail pour soulager les consciences du mystère de la tombe, expriment le malaise d'un jeune contestataire, envisageant son propre destin de façon courageuse et lucide:
« L'isolement est une situation fâcheuse, une sorte de geôle. Je ne puis encore prédire si ce sera mon sort ni à quel point. Toi non plus, d'ailleurs, tu ne le sais pas. Je me plais souvent mieux en compagnie de gens (par exemple des paysans, des tisserands, etc...) qui ignorent même le mot en question, que dans un milieu plus cultivé. Et je m'en félicite. Par exemple, depuis que je suis ici, j'ai consacré toute mon attention aux tisserands... Il est malaisé de dessiner ces gens, car on ne peut se placer à une distance convenable dans ces pièces exiguës... Elle est très sombre - car les tisserands sont des gens très miséreux. »
— Vincent van Gogh, Lettre 351 à Théo, janvier 1884
Alors qu'il était encore à Nuenen, il avait travaillé sur une série de peintures qui devaient décorer la salle à manger d'un de ses amis vivant à Eindhoven. Van Gogh s'est alors intéressé aux artistes renommés de l'école de La Haye (un groupe d'artiste qui, entre 1860 et 1890, était fortement influencé par la peinture réaliste de l'école de Barbizon) comme Johan Hendrik Weissenbruch ou Bernard Blommers qui lui ont apporté un soutien technique, mais aussi à des peintres comme Théophile de Bock et Herman Johannes van der Weele.
À la même époque, Zola était critique d'art et Joris-Karl Huysmans se rêvait peintre. En 1885, au moment où paraît Germinal, Van Gogh peint Les Mangeurs de pommes de terre.
C'est à Nuenen que le talent de Van Gogh se révèle définitivement ; il y réalise de puissantes études à la pierre noire de paysans au travail, mais aussi quelque deux cents tableaux à la palette sombre et aux coups de brosse expressifs, qui viennent alors confirmer son talent de dessinateur et de peintre16.
Passant de ce réalisme sombre au colorisme éclatant des paysages d'Arles, il modèle alors les formes d'une touche fragmentée jusqu'aux volutes intenses. Vincent van Gogh emprunte et prépare ainsi tous les sentiers de l'art moderne, de l'impressionnisme à l'expressionnisme.
1885-1886 : à Anvers
À Anvers de nouveau (de novembre 1885 à février 1886), il est impressionné par les Rubens et à la révélation des estampes japonaises, qu’il commence à collectionner dans cette ville. C’est aussi dans la capitale flamande que l'artiste inaugure sa fameuse série d’autoportraits, sur le registre de l’humour macabre.
1886-1888 : à Paris
Seule la connaissance du milieu artistique parisien pouvait véritablement permettre à Van Gogh de renouveler et d'enrichir sa vision, ce qui motive son installation à Paris en 1886. Cette année là est celle de la dernière exposition impressionniste, et en 1887 devait avoir lieu la première rétrospective de l’œuvre de Millet. Il s'installe à proximité de son frère Théo qui dirige la succursale parisienne de Goupil depuis 188017.
Au début du mois de mars 1886, Vincent rejoignit son frère à Paris avec l'envie de s'informer sur les nouveautés de la peinture impressionniste. Il y devient également l'amant d'Agostina Segatori, tenancière du cabaret Le Tambourin, boulevard de Clichy.
Paris se préparait alors à accueillir de passionnantes expositions : en plus du Salon, où étaient exposées les œuvres de Puvis de Chavannes, l'artiste hollandais put visiter les salles de la cinquième Exposition internationale à la galerie Georges Petit, qui présentait des toiles d'Auguste Renoir et de Claude Monet. Ces derniers n'avaient pas souhaité participer à la huitième et dernière Exposition des impressionnistes qui offrait le spectacle d'un groupe déchiré entre les défections et les nouvelles arrivées et ouvrait ses portes à la nouveauté du moment, le néo-impressionnisme, avec la toile monumentale de Georges Pierre Seurat, Un dimanche après-midi à l'Île de la Grande Jatte.
À Paris dans les années 1886 - 1887, il fréquente un moment l’académie du peintre Cormon, où il fait la connaissance de Henri de Toulouse-Lautrec, de Louis Anquetin, d’Émile Bernard ainsi que de John Peter Russell. Ce dernier réalise son portrait, à présent exposé au Van Gogh Museum d'Amsterdam. Il rencontre également, par l’intermédiaire de son frère, presque tous les impressionnistes, en particulier Georges Seurat et Camille Pissarro, ainsi que Paul Gauguin. Dans la boutique du Père Tanguy, il devient l'ami de Paul Signac. Sous l’influence des estampes japonaises, ses compositions acquièrent peu à peu davantage de liberté et d’aisance, tandis qu’il s’essaie à la technique de l’aplat coloré. Pissarro l’initie également aux théories nouvelles sur la lumière et au traitement divisionniste des tons. La palette de l'artiste s’enrichit alors de couleurs vives et sa touche s’anime et se fragmente, ceci grâce également à Signac avec qui il travaille en 188718.
Exalté par la ferveur du climat artistique parisien, Van Gogh brûla les étapes de son renouvellement artistique grâce à la fréquentation des peintres les plus anticonformistes du moment: il s'essaya au néo-impressionnisme auprès de Signac et Pissarro, enquêta sur les profondeurs psychologiques du portrait avec son ami Toulouse-Lautrec, fut précocement informé de la synthèse du cloisonnisme par ses compagnons Louis Anquetin et Émile Bernard, put apprécier les toiles exotiques réalisées par Gauguin en Martinique. Régénéré par ce bain dans les sources de la modernité, l'artiste hollandais était prêt à réaliser son rêve méditerranéen, à la recherche de la lumière aveuglante de la Provence, qui ferait resplendir les couleurs pures de la nature, étudiées jusque-là dans sa collection d'estampes japonaises. C'est une période très fertile où son art s'oriente vers l'impressionnisme mais l'absinthe et la fatigue aggravent son état mental.
1888-1889 : à Arles
Van Gogh commence à prendre ses distances vis-à-vis de l'impressionnisme, trop allusif à son goût, pour retrouver l’unité structurelle de l’image et se concentrer sur l'expression et le symbolisme de la forme et de la couleur. Le prochain mariage de son frère Théo, qu'il ressent comme un abandon, semble toutefois être également une des raisons profondes qui décident Van Gogh à quitter Paris. Il suit en cela les conseils de Toulouse-Lautrec qui lui parle de la luminosité des paysages méridionaux. Le 20 février 1888, il s'installe à Arles initialement dans la vieille ville à l'intérieur des remparts à l'hôtel-restaurant Carrel au 30 rue de la Cavalerie, avec comme compagnon le peintre danois Christian Mourier-Petersen, puis en mai19 1888, au nord de la place Lamartine, dans la Maison Jaune.
Bien qu'il arrive dans la cité avec un temps de neige, une nouvelle page de son œuvre s'ouvre avec la découverte de la lumière provençale. Dès le 22 février 1888, il débute sa production arlésienne ; il parcourt à pied la région et peint des paysages, des scènes de moissons et des portraits. Trois de ses premiers tableaux sont présentés à l'exposition annuelle de la Société des artistes indépendants. En avril, Vincent rencontre le peintre américain Dodge MacKnight, qui habite Fontvieille, un petit village au nord-est d'Arles.
Au début du mois de juin 1888, ayant reçu un billet de cent francs de son frère Théodore, il se rend en diligence aux Saintes-Maries-de-la-Mer pour un court séjour de cinq jours. Il y peint la fameuse barque « Amitié » et le village regroupé autour de l'église forteresse.
À Arles, des idées plus anciennes sur l'art et la peinture réapparaissent, comme faire des séries de tableaux sur des thèmes similaires20. Au printemps 1888, il réalise ainsi une série sur les vergers fleurissants dans des triptyques, ainsi qu'une série de portraits comme ceux de la famille Roulin. La première série des tournesols date aussi de cette époque. Enfin, lorsqu'il prépare la venue de Gauguin, il commence à travailler sur la décoration de la Maison Jaune, probablement l'effort le plus ambitieux qu'il ait jamais entrepris.
Vincent qui habite la « maison jaune », rêve en effet d'une communauté d'artistes unissant fraternellement leurs expériences et leurs recherches : Paul Gauguin vient le rejoindre dans ce but le 23 octobre 1888 et ils commencent à travailler ensemble comme par exemple sur la série de tableaux consacrés aux Alyscamps. Mais les deux hommes s'entendent mal : la tension et l’exaltation permanentes qu’impliquent leur démarche créatrice et une telle urgence de peindre débouchent sur une crise.
Le 24 décembre 1888, à la suite d'une dispute plus violente que les autres, Van Gogh a le lobe de l'oreille gauche tranché. Plusieurs théories tentent d'expliquer l'incident21 :
• La thèse classique, soutenue par de Musée Van Gogh d'Amsterdam d'après le témoignage de Gauguin, explique que Van Gogh menace d'un rasoir Gauguin qui s'enfuit, laissant Van Gogh seul. Dans un accès de délire, celui-ci retourne le rasoir contre lui-même et se coupe l'oreille avant d'aller l'offrir à une prostituée [réf. nécessaire]. Différents diagnostics possibles expliquent cet accès de folie (voir ci-dessous).
• En 1888, Théo annonce à son frère qu'il va se marier, cela provoque un état de choc chez Vincent qui, en référence à son propre père, à Gauguin, mais aussi à Théo, devenu un père potentiel, se tranche l'oreille [réf. nécessaire].
• Une autre théorie de 2009 soutient que ce serait Gauguin qui, au cours d'une violente dispute, aurait tranché au sabre l'oreille de van Gogh avant de s'enfuir d'Arles. La version de l'automutilation de son ancien ami n'ayant servi qu'à le couvrir22.
Il est soigné par le docteur Rey dont il peint le portrait (Portrait du docteur Rey). En mars 1889, après une période de répit pendant laquelle il peint entre autres l’Autoportrait à l'oreille bandée (janvier 1889), une pétition des habitants d’Arles entraîne son internement à l’Hôtel-Dieu.
Pendant son séjour à Arles, le lien de Van Gogh avec l'univers artistique parisien fut maintenu notamment grâce à l'abondante correspondance qu'il échangea avec son frère Théo. Malgré l'échec de son projet d'établir un atelier dans la petite ville du sud, Van Gogh ne renonça pas au dialogue avec ses amis Émile Bernard et Gauguin. Ce dernier, après son séjour malheureux à Arles, accompagna à travers ses lettres la vie du peintre hollandais jusqu'à la fin.
1889-1890 : Saint-Rémy-de-Provence
Le 8 mai 1889, hanté par l’idée du suicide mais pleinement conscient du mal qui le ronge, il quitte Arles, ayant décidé de lui-même d'entrer dans un asile près de Saint-Rémy-de-Provence (l'hôpital psychiatrique du monastère Saint-Paul-de-Mausole) où il va rester pendant une année.
Son état, variant de la dépression profonde aux phases de rémission et d’activité intense, entraînent de nouvelles modifications de son style : le graphisme et la touche dont les traits discontinus et sinueux donnent aux champs de blé, aux oliviers et à la voûte céleste des Alpilles et des Baux-de-Provence les mouvements mêmes de sa pathologie. Un des premiers tableaux de cette époque est le fameux Iris. Les peintures de cette période sont souvent caractérisées par des remous et des spirales. À diverses périodes de sa vie, Van Gogh a également peint ce qu'il voyait de sa fenêtre, notamment à la fin de sa vie avec une grande série de peintures de champs de blé qu'il pouvait admirer de la chambre qu'il occupait à l'asile de Saint-Rémy.
Van Gogh commence également à sortir de l'anonymat. En janvier 1890, un article d’Albert Aurier dans le Mercure de France souligne pour la première fois l’importance de ses recherches. Un mois plus tard, le peintre Anna Boch acquiert l’un de ses tableaux, La vigne rouge, exposé au Salon des XX à Bruxelles, pour la somme de 400 francs[25].
1890 : Auvers-sur-Oise
Vincent van Gogh a passé les 70 derniers jours de sa vie à Auvers-sur-Oise où il peignait énormément, parfois plusieurs tableaux par jour.
Séjour
En mai 1890, l'artiste quitte Saint-Rémy-de-Provence et rejoint son frère Théo à Paris. Ensuite, Vincent séjourne à Auvers-sur-Oise, situé à une trentaine de kilomètres au nord-ouest de Paris du 20 Mai au 29 Juillet 1890, date de son décès. La raison pour laquelle Vincent se trouve dans cette ville est la présence du docteur Paul Gachet qui promet de prendre soin de lui sur la demande de Théo[Lettre 2]. Paul Gachet, ami de Paul Cézanne et des peintres impressionnistes et lui-même peintre amateur, veille sur Van Gogh qui loue une petite chambre d'une grande sobriété dans la modeste auberge Ravoux. Cette modeste commune rurale du Vexin français était déjà connue dans le milieu des peintres, initialement par les paysagistes de l'école de Barbizon puis par les impressionnistes
Le docteur Paul Gachet, ami de Charles-François Daubigny et de Jean-Baptiste Corot, accueille jusqu'à la fin de sa vie les artistes dans sa maison, dont Paul Cézanne ou Camille Pissarro, qui vient lui rendre visite en voisin, de sa maison de Pontoise. Grand collectionneur d'art, le docteur Gachet demeure un acteur incontournable de l'histoire de l'art de la fin du XIXe siècle[26].
Cette section est vide, pas assez détaillée ou incomplète. Votre aide est la bienvenue !
Le mardi 20 mai 1890 à onze heures du matin, le docteur Gachet reçoit un peintre alors inconnu du public, recommandé par son frère : Vincent van Gogh. Celui-ci est au sommet de sa maîtrise artistique. Vincent va alors décrire dans ses œuvres la vie de cette petite commune, sa vie paysanne, son architecture. D'une grande force expressive, sa palette s'assombrit néanmoins peu à peu exprimant le mal de vivre qui le tourmente, sa vie étant « attaquée à la racine même ». Sa touche demeure mouvementée et fébrile, mais ses coloris acquièrent, sous la lumière d’Île-de-France, un regain de vivacité et de fraîcheur.
Grâce aux soins du docteur Gachet, l'activité artistique de Van Gogh est intense. Il produit pendant deux mois plus de soixante-dix tableaux. Cependant, le répit est de courte durée : lorsque Théo lui fait part de son désir de retourner en Hollande, Vincent se sent de nouveau abandonné.
Le 27 juillet 1890, dans un champ où il peint une ultime toile, il se tire un coup de revolver dans la poitrine. Ramené mourant à l'auberge Ravoux, il meurt deux jours plus tard, soutenu par son frère Théo et toujours inconnu du grand public.
« Les autres peintres quoi qu'ils en pensent instinctivement se tiennent à distance des discussions sur le commerce actuel. Eh bien vraiment nous ne pouvons faire parler que nos tableaux mais pourtant mon cher frère il y a ceci que toujours je t'ai dit et je le redis encore une fois avec toute la gravité que puisse(nt) donner les efforts de pensée assidûment fixée pour chercher à faire aussi bien qu'on peut - je te le redis encore que je considérerai toujours que tu es autre chose qu'un simple marchand de Corots que par mon intermédiaire tu as la part à la production même de certaines toiles qui même dans la débâcle gardent leur calme. Car là nous en sommes et c'est là tout ou au moins le principal que je puisse avoir à te dire dans un moment de crise relative. Dans un moment où les choses sont fort tendues entre marchands de tableaux - d'artistes morts - et artistes vivants. Eh bien mon travail à moi, j'y risque ma vie, et ma raison y a sombré(e) à moitié -bon- mais tu n'es pas dans les marchands d'hommes pour autant que je sache et puisse prendre parti je te trouve agissant réellement avec humanité mais que veux-tu. »
— Lettre du 27 juillet 1890
lit-on dans la dernière lettre (652F) à son frère que Vincent portait sur lui le 29 juillet.
เพิ่มเติมได้ที่ http://fr.wikipedia.org/wiki/Vincent_van_Gogh ค่ะ
วงดนตรีคลาสสิกร่วมสมัย "VieTrio"
วันนี้ขอแนะนำ วงดนตรีคลาสสิกประยุกต์สายเลือดไทย "วีทรีโอ" ค่ะ ด้วยฝีมือที่ไม่ธรรมดา
มีดีกรีถึงขั้นนักเรียนทุนพระราชทานดนตรีคลาสสิก ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ เลยนะคะ
ไปทำความรู้จักกันเลยดีกว่า...Let's go....
(ซ้ายสุด :เป้ ทวีเวท กลาง :ปุย พินทุสร ขวาสุด :ป่าน อุทัยศรี สามพี่น้องครอบครัว "ศรีณรงค์")
ทวีเวท ศรีณรงค์ หรือ เป้ นักเรียนทุนดนตรีคลาสสิกคนแรกในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เกิดเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2523 มีพี่น้อง 3 คน ทวีเวทเป็นคนที่ 1 และปัจจุบันออกอัลบั้มกับค่าย Exact GMM Grammy ในนามของ "Vietrio"
การศึกษา
ระดับปริญญาตรี - นักเรียนทุนผู้ได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ประทานทุนส่วนพระองค์ให้ เรียนต่อใน สาขาดนตรีคลาสสิก ที่ Royal Academy of Music ประเทศอังกฤษ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง, โรงเรียนมัธยมดนตรี Purcell แห่งประเทศอังกฤษ
ระดับปริญญาโท - Yale School of Music
กำลังศึกษาปริญญาเอกด้านไวโอลิน (Doctor of Musical Arts) ที่ Stony Brook University, Long Island, New York
ผลงาน
เป็นนักดนตรีในวง Orpheus Chamber Orchestra อันมีชื่อเสียงของสหรัฐ แสดงที่ Carnegie Hall
ได้รับเลือกให้แสดงเดี่ยวร่วมกับ Cho-Liang Lin ที่ Aspen Music Festival ปี 2003
ได้รับเลือก Fellowship 1 ใน 2 ตำแหน่ง เข้าร่วม Music Academy of the West ที่ Santa Barbara
ได้แสดงคอนเสิร์ตที่สำนักงานสหประชาชาติและทำเนียบไวท์เฮาส์ต่อหน้าประธานาธิบดีบิล คลินตัน
ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกวงเยาวชนแห่งเอเชีย (Asian Youth Orchestra) ที่อายุน้อยที่สุด ออกแสดงทัวร์ทั้งในเอเชียและสหรัฐอเมริกา
ร่วมในวง Bangkok Symphony Orchestra เมื่ออายุ 13 ปี
หัวหน้าวงคนแรกของ New York Asian Symphony
อดีตหัวหน้าวงดุริยางค์เยาวชนไทย (Thai Youth Orchestra)
อดีตหัวหน้าวง Purcell School Orchestra
อดีตหัวหน้าวง Philharmonia Orchestra of Yale
อดีตหัวหน้าวง Stony Brook Symphony
หัวหน้าวงรับเชิญ Bangkok Opera Orchestra
หัวหน้าวงรับเชิญ Bangkok Symphony Orchestra
ผลงานแสดงคอนเสิร์ตในประเทศต่างๆ เช่น Thailand, Malaysia, Singapore, the Philippines, Hong Kong, Taiwan, China, Japan, South Korea, England, France, Italy, Austria, Poland, Hungary และ USA
ออกอัลบั้ม "Miracle" ในนามของวง VieTrio ในสังกัด Exact, GMM Grammy เป็น co-producer และผู้แต่ง + เรียบเรียงแพลง [3]
ออกอัลบั้ม "VieTrio Love Birds" ในนามของวง VieTrio ในสังกัด Exact, GMM Grammy เป็น co-producer และผู้แต่ง + เรียบเรียงแพลง
เป็นหนึ่งใน Producer ของ Clash Army Concert 2009 ช่วง Rock Musical
ออกอัลบั้ม Voice of Love ในสังกัด Exact, GMM Grammy
ผลงานโฆษณา
ถ่ายโฆษณา เอสเต ลอเดอร์
ถ่ายโฆษณา นิสสัน ทีด้า
ถ่ายโฆษณา Colgate
ผลงานถ่ายแบบ
พลอยแกมเพชร
เปรียว
Hi!
OK!
Who? Magazine
---------------------------
มาถึงนักเชลโลสาวสวย พี่ป่าน อุทัยศรี กันบ้างนะคะ
อุทัยศรี ศรีณรงค์ หรือ ป่าน นักเรียนทุนดนตรีคลาสสิคในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ฝึกฝนดนตรีด้วยการเริ่มเล่นเปียโนมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ต่อมาจึงเริ่มหัดเล่นไวโอลิน และเริ่มสนใจการเล่นเชลโล่อย่างจริงจังเมื่ออายุ 13 ปี เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 มีพี่น้อง 3 คน อุทัยศรีเป็นคนที่ 2 และปัจจุบันออกอัลบั้มกับค่าย Exact ในนามของ "Vietrio" พี่น้องทั้ง 3 คนของครอบครัวศรีณรงค์
การศึกษา
ทางด้านดนตรีคลาสสิคที่ Hong Kong Academy for Performing Arts
เข้าเรียนในคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจนถึงปี 2 ได้รับทุนจากสมเด็จพระพี่นางฯ ให้เข้าเรียนต่อทางด้านดนตรีคลาสสิคที่ Hong Kong Academy for Performing Arts โดยตั้งใจจะเลือกเส้นทางเป็นนักดนตรีอาชีพ
ผลงานเพลง
นักดนตรีเชลโล
อาจารย์สอนดนตรีอิสระ
นักดนตรีวงบางกอก ซิมโฟนี
ออกอัลบั้ม ในนามของวง "Vietrio" ในสังกัด Exact
ผลงานละคร
จับตายวายร้ายสายสมร (พ.ศ. 2553) ทาง ช่อง 5 รับบท แหม่ม
ถ่ายแบบ
Mediathai.Net ถ่ายแบบพร้อมบทสัมภาษณ์
---------------------
แล้วก็มาถึงน้องนุชสุดท้อง พี่ปุย พินทุสร ค่ะ
พินทุสร ศรีณรงค์ หรือ ปุย หัวหน้าวงดุริยางค์เยาวชนไทยในอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์[1] เกิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2531 มีพี่น้อง 3 คน พินทุสรเป็นคนสุดท้อง และปัจจุบันออกอัลบั้มกับค่าย Exact ในนามของ "Vietrio" พี่น้องทั้ง 3 คนของครอบครัวศรีณรงค์
การศึกษา
โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เอกความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ[2]
ผลงานเพลง
หัวหน้าวงดุริยางค์เยาวชนไทย ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ
อาจารย์สอนดนตรี
ออกอัลบั้มในนามของวง "Vietrio" ในสังกัด Exact
จบท้ายด้วยผลงานที่พี่ๆทั้ง 3 ทำร่วมกันค่ะ
ผลงานหนังสือTo be (อัจฉริยะดนตรี) VieTrio พอคเก็ตบุ้ค สำนักพิมพ์ Solidbooks จัดจำหน่ายโดย อ้มรินทร์
คอนเสิร์ต (VieTrio)
Vietrio Live in Concert (10 ตุลาคม 2551)
Retrospect Rise Now Concert 2008 (แขกรับเชิญ), Moonstar Studio, Bangkok
Nuvo Now Showing Concert 2008 (แขกรับเชิญ), Impact Arena, Bangkok
Pattaya International Music Festival 2009, 2010 Pattaya
Bird Thongchai Concert "Fancy Fanzone" 2009, Impact Arena, Bangkok
Michael Jackson Thailand Tribute "This is it" Concert 2010, Impact Arena, Bangkok
CD-VCD&DVD
VieTrio Miracle CD
VieTrio Love Birds (Hot&Cool) CD มีทั้งแยกแผ่นและแพ็คคู่
VieTrio Live in Concert DVD, VCD
Retrospect Rise Now Concert DVD, VCD
Bird Thongchai "Fancy Fanzone" Concert DVD, VCD
Voices of Love CD,VCD
รายชื่อเพลงในอัลบั้ม Miracle
Miracle
รักนี้ที่รอคอย
Immortal Feat.น็อต Retrospect
เพลงแทนใจ Feat.อาณัตพล ศิริชุมแสง (อาร์ เดอะ สตาร์)
Young Blood Feat.กาย G-Junior
ใบไม้
Soul of Siam
ผู้ชายในสายฝน Feat.ศุภรุจ เตชะตานนท์ (รุจ เดอะ สตาร์)
Wedding
Confession
Happy Night
Rain Instrumental
รายชื่อเพลงในอัลบั้ม VieTrio Love Birds
Hot Album
01 สบาย สบาย
02 โอ้ละหนอ My Love
03 คู่กัด
04 มาทำไม
05 ขออุ้มหน่อย
06 หมอกหรือควัน
07 สัญญาต้องเป็นสัญญา
08 ถ่านไฟเก่า
09 บูมเมอแรง
10 จับมือกันไว้
Cool Album
01 อยู่เพื่อใคร
02 เธอคนเดียว
03 เหมือนเป็นคนอื่น
04 ด้วยรักและผูกพัน
05 อย่าต่อรองหัวใจ
06 เล่าสู่กันฟัง
07 หมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจ
08 พักตรงนี้
09 เธอ...ผู้ไม่แพ้
10 ฝากฟ้าทะเลฝัน (Feat. หมู MUZU)
รายชื่อเพลงในกับศิลปินอื่นๆที่มีส่วนร่วม
I Love You Too (เป็นผู้แต่ง+featuring) จากอัลบั้ม I Love U2 ของ บี้ the Star, 2008
Someone (arranged+featuring) จากอัลบั้ม I Love U2 ของ บี้ the Star, 2008
ปากหนัก (arranged+featuring) จากอัลบั้ม I Love U2 ของ บี้ the Star, 2008
ใบไม้ (เป็นผู้แต่ง+featuring) จากอัลบั้ม GAM ของ แก้ม the Star, 2008
เธอเป็นคนเดียวที่ฉันจะรัก (arranged+featuring) กับ ศุภรุจ เตชะตานนท์ (รุจ เดอะ สตาร์), 2009
คนที่เธอรัก (arranged+featuring) กับ บี้ the Star จากอัลบั้ม Hug Bie, 2009
ส่งนางฟ้ากลับสวรรค์ (arranged+featuring) กับ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์, 2009
น้ำค้างบนยอดหญ้า (arranged+featuring) กับ แพท สุธาสิณี พุทธินันท์, 2009
ชีวิต มิตรภาพ ความรัก (arranged+featuring) จาก Clash Army Concert 2009
วังวน (arranged+featuring) จาก Clash Army Concert 2009
เธอจะอยู่กับฉันตลอดไป (arranged+featuring) จาก Clash Army Concert 2009
ปฏิเสธรัก (arranged+featuring) จาก Clash Army Concert 2009
เจ้าหญิงนิทรา (arranged+featuring) จาก Clash Army Concert 2009
ปฏิเสธไม่ได่ว่ารักเธอ (arranged+featuring) จาก Clash Army Concert 2009
รักแพ้ แม้ใกล้ชิด (arranged+featuring) กับ แก้ม the Star อัลบั้ม Voice of Love, 2010
เธอหลอกฉัน ฉันหลอกเธอ (arranged+featuring) กับ ศุภรุจ เตชะตานนท์ (รุจ เดอะ สตาร์) อัลบั้ม Voice of Love, 2010
MV Miracle : VieTrio
แถมให้อีกนิดกับความน่ารักกับเหล่าแฟนคลับค่ะ ^^
อ๊ายยยยยย จะกินหัวน้องเค้าแย้วววววววววว
ภาพเหมือนที่แฟนคลับวาดให้พี่ ปุย ปุย
ส่วนอันนี้คือรูปต้นฉบับค่ะ ^^
เฮ้อ...จบซะที 5555555+
Antonio Lucio Vivaldi
Antonio Lucio Vivaldi (March 4, 1678 – July 28, 1741), nicknamed il Prete Rosso ("The Red Priest"), was a Venetian baroque composer and priest, as well as a famous virtuoso violinist, born and raised in the Republic of Venice. The Four Seasons, a popular series of four violin concerti, is his best-known work and is representative of the baroque period in European art music.
In September 1703, Vivaldi became maestro di violino (master of violin) at an orphanage called the Pio Ospedale della Pietà (Devout Hospital of Mercy) in Venice. While Vivaldi is most known as a composer, he was regarded as an exceptional technical violinist as well. The German architect Johann Friedrich Armand von Uffenbach referred to Vivaldi as "the famous composer and violinist" and said that "Vivaldi played a solo accompaniment excellently, and at the conclusion he added a free fantasy [an improvised cadenza] which absolutely astounded me, for it is hardly possible that anyone has ever played, or ever will play, in such a fashion." Vivaldi was only 25 when he started working at the Ospedale della Pietà and he composed most of his major works while working there for the next thirty years of his life. There were four such institutions in Venice; their purpose was to give shelter and education to children who were abandoned, orphaned, or whose families could not support them. They were financed by funds provided by the Republic. The boys learned a trade and had to leave at age 15. The girls received a musical education, and the most talented stayed and became members of the Ospedale's renowned orchestra and choir.
Shortly after his appointment, the orphans began to gain appreciation and esteem abroad, too; Vivaldi wrote most of his concertos, cantatas, and sacred music for them. Vivaldi also wrote sacred vocal music, which was mainly written for the Ospedale della Pietà.These sacred works, which number over 60, include many different kinds of works, including solo motets and large-scale choral works for soloists, double chorus, and orchestra. In 1704, the position of teacher of viola all'inglese was added to his duties as violin instructor. The position of maestro di coro, which was at one time filled by Vivaldi, required much time and work. He had to compose an oratorio or concerto at every feast and teach the orphans how to play certain instruments and theory.
His relationship with the board of directors of the Ospedale was often strained. The board had to take a vote every year on whether to keep a teacher. The vote on Vivaldi was seldom unanimous, and in 1709, he lost his job after a 7 against 6 vote. After a year as a freelance musician, he was recalled by the Ospedale with a unanimous vote in 1711; clearly the board had realized the importance of his role by then. In 1713, he became responsible for the musical activity of the institution. Vivaldi was promoted to maestro di' concerti (music director) in 1716.
It was during these years that Vivaldi wrote much of his music, including many operas and concerti. In 1705, the first collection (Connor Cassara) of his works was published: his Opus 1 is a collection of 12 sonatas for two violins and basso continuo, still in a conventional style. His first printed collection, written in 1705, was published by Giuseppe Sala. In 1709, a second collection of 12 sonatas for violin & basso continuo appeared (Opus 2).The real breakthrough came with his first collection of 12 concerti for one, two, and four violins with strings, L'estro armonico (Opus 3), which was published in Amsterdam in 1711 by Estienne Roger.L’estro armonico was dedicated to Grand Prince Ferdinand of Tuscany, a musician himself who sponsored many musicians such as Alessandro Scarlatti and Handel. Vivaldi probably met him in Venice. This was a resounding success all over Europe, and was followed in 1714 by La stravaganza (Opus 4), a collection of concerti for solo violin and strings. La stravaganza was dedicated to an old violin student of Vivaldi’s, Vettor Dolfin, who was also a Venetian noble.
In February 1711, Vivaldi and his father went to Brescia, where his setting of the Stabat Mater (RV 621) was played as part of a religious festival. The work seems to have been written in haste: the string parts are simple, the music of the first three movements is repeated in the next three, and not all the text is set. However, and in part as a consequence of the forced essentiality of the music, the work reveals musical and emotional depth and is one of his early masterpieces.
In 1718, Vivaldi began to travel. Despite his frequent travels, the Pietà paid him to write two concerti a month for the orchestra and to rehearse with them at least five times when in Venice. The Pietà's records show that he was paid for 140 concerti between 1723 and 1733.
This is masterpiece of Vivaldi
Four season
Spring
Summer
Autumn
and Winter
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)